วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"บันทึกระหว่างทาง(๑)"

และแล้วสภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ลมหนาวพัดมาอีกครา อากาศแห้ง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็คือจะมีอาการผิวหน้าแห้งตึงหลังฟอกสบู่ ต้องใช้โลชั่นยี่ห้อซิตร้าทาทั่วหน้าเพื่อป้องกันหน้าแตก




ผมนั่งห่อตัวอยู่ใต้ผืนผ้านวมกลางดึก สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าของโน้ตบุ๊ค ไล้สายตาสำรวจตัวอักษรเรียงรายยาวเหยียด สหายชาวใต้ร่อนจดหมายอีเล็กทรอนิกส์มาไหว้วานให้ช่วย “ดู” เรื่องสั้นที่เขาเขียน เรื่องสั้นที่มีความยาว ๓๔ หน้า มันมากมายเพียงพอที่จะทำให้ผมต้องลุกไปต้มมาม่ากินเมื่ออ่านไปได้แค่ครึ่งเดียว



จุดหมายปลายทางของเรื่องสั้นเรื่องนี้ สหายบอกว่าจะส่งไปประชันความงมบนเวทีนายอินทร์อวอร์ด ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง ๘ วันก็จะหมดเขตส่งต้นฉบับ ทราบมาว่ากติกากำหนดความยาวไว้ไม่เกิน ๓๐ หน้า แต่สหายของผมเขียนมา ๓๔ หน้า เขาแนบข้อความในจดหมายในทำนองว่าจะมีทางใดบ้างไหมที่จะช่วยลดขนาดของมันลง?



ผมเอามือลูบคาง สัมผัสตอหนวดสากคาย อากาศเย็นจนผมต้องกระชับผ้าห่มแนบลำตัว แต่ฝ่ามือกลับชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ



ผมอ่านเรื่องสั้นของสหายรักจนจบ จากนั้นจึงเลื่อนเมาส์กดปุ่มเปิดโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด นั่งจ้องหน้าจอสีขาวว่างเปล่าเนิ่นนาน



เคอร์เซอร์กะพริบเรียกร้องให้ผมกดปุ่มพิมพ์ข้อความ หัวใจของผมก็ร่ำร้องให้ผมเขียนอะไรสักอย่าง ผมหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอด อากาศกลางดึกเย็นจัดจนแทบจะสำลัก



แต่ไหนแต่ไรมา นิสัยการอ่านของผมจะเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า “อ่านเอา” ความหมายก็คืออ่านเอา ไม่คิดจะอ่านเพื่อเผื่อแผ่แบ่งปันใครทั้งนั้น งานเขียนชิ้นใดของใครก็ตาม ต่อให้ย่ำแย่แค่ไหนผมก็อ่านเอาได้สบายมาก เพราะโดยจุดประสงค์การอ่านที่ผมยึดถือมาเนิ่นนานก็คืออ่านเพื่อพัฒนางานเขียนของตัวเอง



สหายท่านนี้เป็นคนที่ถูกผม “อ่านเอา” มาตั้งแต่สมัยที่เห็นข้อความแรกๆที่เขาโพสต์ลงบอร์ด(winbookclub) จากข้อความกระท่อนกระแท่นสะเปะสะปะ จนกระทั่งถึงเรื่องสั้นดีกรีรางวัล ผมพบว่าเขาเป็นคนที่มีพัฒนาการ แม้ไม่ถึงกับรุดหน้าแบบก้าวกระโดด แต่ความสม่ำเสมอและมุ่งมั่นในงานเขียนของเขา ทำให้ผมไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่ตั้งหน้าตั้งตา “อ่านเอา” งานของเขา



แต่ในวันนี้ ผมต้องอ่านงานเขียนของเขาแล้วแบ่งคืนเขาไป แบ่งความรู้ แบ่งความคิด และแบ่งประสบการณ์ โดยการชำแหละเรื่องสั้นเรื่องนี้เพื่อหาจุดบกพร่อง



แล้วผมก็ได้พบว่า งานนี้มันยากกว่าการเขียนเรื่องสั้นสักเรื่องเสียอีก



ผมไม่แน่ใจนักว่า สิ่งที่ผมเขียนตอบเขาไปนั้นจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อเขามากน้อยเพียงใด ผมไม่อาจชมว่าเขาเขียนได้เลิศเลอเหลือเกิน และไม่อาจหาข้อตำหนิใดๆได้มากไปกว่าหาเรื่องสั้นสักเรื่องที่มีโทนเรื่องใกล้เคียงกันและมีขนาดความยาวไล่เลี่ยกันมาเทียบเคียง ใช้ประสบการณ์อ่อนหัดชี้ให้เขาดูในบางจุด ท่ามกลางอาการหวั่นใจว่าตนกำลังสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำหรือกำลังเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน



หลังจากคลิกส่งจดหมายกลางดึกแล้ว ผมตัดสินใจเขียน “บันทึกระหว่างทาง” เพื่อเน้นย้ำลงกลางใจของตนว่า จงอย่าได้ปล่อยให้ความสุขแห่งการขีดเขียนหลุดลอยหนีหายไปไหนอีก จงมีชีวิตอยู่เพื่อรออ่านงานเขียนของสหาย(อย่างเช่นวันนี้) และจงตั้งใจเขียนงานดีๆให้สหายอ่าน



และสุดท้ายก่อนที่ผมจะมุดหัวเข้าใต้ผืนผ้านวม ผมหวังในใจว่า สหายของผมจะขยับเท้าก้าวไปอีกขั้นอย่างที่ตั้งใจไว้



กลางดึก

คืนวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อืม...วันหลังจะส่งการบ้านไปให้เม้นมั้ง
เผื่อจะได้มีบันทึกถึงป้าโคฯ เอาแบบที่เขียนถึงสหายใต้นี้เลยนะ
ชึ้งดี:)

DiN กล่าวว่า...

ฮืมม์..ก้าวอีกขั้น..ก้าวอีกขั้น..สมพรปาก
http://tuleedin.blogspot.com/2009/11/note-book.html#more

พระพาย กล่าวว่า...

หวัดดีเจ้าค่ะพี่ทั่น

ข้าพเจ้าก็ได้รับจดหมายจากสหายริมทะเลสาบ ความยาว 40 หน้า (คงเป็นคนละเรื่องกับที่พี่ทั่นได้รับ แต่มันดันจะไปเฉิดฉายบนเวทีเดียวกันนี่สิ!) ตั้งใจไว้ว่าได้รับแล้วจะรีบตอบกลับอย่างพี่ท่านกระทำ แต่จนบัดเดี๋ยวนี้ก็ยังนั่งเกาหัวยิกๆ ...เถอะน่า สำหรับศัตรูยังมีประโยคเด็ด 'สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย' แล้วนี่เป็นสหายกันแท้ๆ 'สิบปีตอบจดหมาย' มันจะไปสายได้ยังไงนะทั่นนะ

ได้ข่าวว่าฤดูหนาวทำหน้าทั่นแตกระแหง จนต้องพึ่งซิตร้ามาบรรเทา ใช้ให้ดีๆ ล่ะ ข้าพเจ้ารู้จักใครคนหนึ่งหน้าหนาวตะแกก็เอาซิตร้ามาถูหน้า ใช้ไปสี่ซ้าห้าวันตื่นเช้าขึ้นมาภูเขาลูกย่อมๆ ขึ้นเต็มพืดไปหมด สิ้นหน้าหนาวต้องมารักษาหนังหน้าอีกเป็นเดือน

แต่บางทีพี่ท่านอาจเลยวัยสิวมาแล้ว ไม่ก็ ถ้าเซลล์หนังหน้าชั้นนอกหนาผิดปกติ พี่ทั่นอาจไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ (อิอิ แชวเย่น)

พูดเรื่องผู้ชายกับเครื่องสำอาง มีเรื่องเล่าอีกเรื่อง

พระเพื่อนสุดรักที่คบหากันมาหลายปีดีดักของผู้น้องท่านหนึ่ง ตะแกเป็นหนุ่มแบงก์หน้าใสไฮโซไซตี้ แต่อันว่า 'ความพอดี' ในมนุษย์นั้นไซร้ 'ไม่เคยมีพอ' ไอ้ที่ใสที่เด้งอยู่แล้วตะแกอยากให้ใสให้เด้งกว่า จึงไปเสาะหาครีมกระปุกละสองพันมาทา ใช้ไปไม่เท่าไหร่หน้าที่เคยเด้งกลับด่าง หน้าที่เคยใสกลับสิวขึ้นพะเนินเทินทึก ท้ายสุดต้องหาเครื่องสำอางสูตรสมุนไพรไทยขวดละ 150 มาเยียวยา

ส่วนกระปุกละ 2000 ที่เคยทาหน้าตอนนี้เอามาทาเท้าแทน เห็นบอกจะทิ้งก็เสียดาย เจอกันหลังๆ เท้ามันเนียนมาเชีย

ถ้าพี่ท่านสนใจจะไปซื้อเครื่องสำอางมาใช้ ก่อนควักตังค์อย่าลืมถามคนขายให้แน่ใจก่อนนะเจ้าคะ ว่ามันเหมาะกับผิวหน้าหรือผิวเท้า!

ตอนบ่าย

วันพุธ ที่ 25 พฤศจิกายน 2552

นารินทร์ ทองดี กล่าวว่า...

แม่พระพายขอรับ

ซิตร้าน่ะ น้องสาวผมมันใช้ทาแขน แข้ง และหลังเท้า

:)

แสดงความคิดเห็น