วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

"ดวงใจเล็กๆของเราเอง"

๑)

ฉันมองมวลหมู่สีชมพูอ่อนของดอกชมพูพันธ์ทิพย์ที่หล่นอยู่เกลื่อนพื้น เสียงทุ้มอันชาเย็นยังแว่วอยู่ในหู ทำไมเขาจึงกล้าเรียกชมพูพันธ์ทิพย์ว่าซากุระเมืองไทย เป็นเพราะเขาไม่เคยไปญี่ปุ่นเพื่อดูดอกซากุระจริงๆแน่เลย เขาจึงไม่รู้ว่าดอกซากุระและไอ้ชมพูพันทิพธุ์ของเขานั้นมันมีส่วนแตกต่างกันอยู่มาก เขาเป็นผู้ชายที่ชอบมองอะไรอย่างผิวเผิน ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะตั้งแต่ฉันได้รู้จักกับเขามา ฉันยังไม่เคยเห็นเขาสนใจอะไรจริงๆจังๆเลยสักครั้ง...ยกเว้นหนังสือ



ฉันรู้จักกับเขาโดยการแนะนำของอาอี๊ เขาเป็นผู้ชายที่มีความเฉยเมยเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น เพราะแม้แต่การพบกันในวันแรก อาอี๊ของฉันจะแนะนำอย่างตรงไปตรงมาตามประสาคนกันเองว่าฉันเป็นเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากเขาเลย ผิดกับผู้ชายคนอื่นๆที่พอได้รู้จักฉัน พวกเขาเหล่านั้นก็รีบให้ความสนในตัวฉันทันที และยิ่งพวกเขาได้รู้ว่าฉันเติบโตมาโดยได้รับการเลี้ยงดูจากอาม่า พวกเขาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสงสารฉัน แต่ฉันดูออกว่าการแสดงออกของพวกเขามีจุดประสงค์อย่างอื่นด้วย ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดี จะมีอะไรที่ทำให้ผู้หญิงวัยสาวรู้สึกดีไปกว่าการได้รับความสนใจจากเพศตรงข้าม

เขาจะมาที่บ้านอาอี๊สัปดาห์ละครั้ง การมาแต่ละครั้งของเขาทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เพราะเขาจะเอาแต่คุยกับอาม่าและอาอี๊ เขาไม่เคยสนใจฉันเลย อาอี๊บอกว่าเขาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องที่เขาคุยส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ เกี่ยวกับนักประพันธ์ เกี่ยวกับบทบาทและอิทธิพลของวรรณกรรมต่อสังคม อาอี๊บอกอีกว่า เขาเริ่มคุยกับอาอี๊ด้วยเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เขาได้รู้ว่าอาอี๊เป็นหนอนนังสือเช่นเดียวกับเขา

ก่อนหน้านี้ฉันกับอาม่าอยู่ที่เพชรบุรี ครั้นอาอี๊นึกสนุกอยากทำห้องสมุดประชาชนไว้บริการหนอนหนังสือในชุมชน อาอี๊จึงเรียกให้ฉันมาช่วยงาน อาม่าขอตามฉันมาอยู่กรุงเทพฯด้วย ที่จริงอาอี๊ไม่อยากให้อาม่ามาอยู่กรุงเทพฯเลย อาอี๊บอกว่าอาม่าอยู่กับอาโกที่เพชรบุรีก็ดีอยู่แล้ว เพราะอากาศที่นั่นดีกว่าที่กรุงเทพฯ อาม่างอนอาอี๊ยกใหญ่ แต่ใครๆก็รู้ว่าไม่มีใครสามารถขัดใจอาม่าได้ ท่านบอกว่าท่านจะมาท่านก็ต้องมา ท่านให้เหตุผลว่าที่ท่านต้องมาก็เพราะว่าหลานสาวของท่านคนนี้สวยกว่าใคร ท่านทั้งห่วงทั้งหวงท่านจึงต้องมาดูแล เหตุผลข้อนี้ทำให้ฉันต้องยิ้มจนแก้มแทบปริ

อาอี๊สละที่ดินส่วนหนึ่งบริเวณหน้าบ้านเพื่อสร้างห้องสมุด บริเวณนี้มีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ขึ้นอยู่สามต้น หากใครคนไหนที่ไม่มีหัวใจรักดอกไม้ก็มักจะมองดอกสีชมพูอ่อนที่เกลื่อนพื้นว่ามันช่างรกเสียกระไร ฉันชอบมองเวลาที่ดอกสีชมพูอ่อนเหล่านั้นค่อยๆร่วงหล่นลงพื้น มันเหมือนเป็นสัจธรรมว่า สิ่งใดก็ตามเมื่อถึงเวลาก็ต้องร่วงโรยไปตามกาล

ฉันก้มลงหยิบดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ดอกหนึ่งจากพื้น กลีบดอกสีชมพูอ่อนต้องแรงลมไหวน้อยๆ หันหน้าไปทางเรือนทรงไทยที่อาอี๊ใช้ทำเป็นห้องสมุด ฉันเห็นเขานั่งคุยกับอาม่าอย่างออกรสออกชาติ อีตาคนนี้มีอะไรดีนักหนา ทำไมทั้งอาอี๊และอาม่าจึงชอบคุยกับเขานัก

อาอี๊เคยบอกกับฉันว่า เขาคนนี้เป็นผู้ที่เข้ามาช่วยให้โครงการห้องสมุดฯของอาอี๊เสร็จสมบูรณ์ เขาเป็นคนที่ช่วยเลือกแบบเรือนทรงไทยขนาดเล็กเพื่อใช้ทำอาคารห้องสมุด เขามาช่วยดูแลการก่อสร้าง เขาลงแรงทำสวนหน้าเรือนไทยด้วยตัวเอง เขามอบหนังสือที่เขามีให้ห้องสมุดแห่งนี้ เขาเป็นคนตั้งชื่อห้องสมุดแห่งนี้ว่า"ดวงใจเล็กๆของเราเอง" อาอี๊บอกว่าหัวใจของผู้ชายคนนี้มีรูปร่างคล้ายรูปเล่มหนังสือ

อาม่าปลื้มเขามากที่เขาชอบคุยถึงผลงานของอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์อิสระเมืองเพชรบุรี ฉันเคยได้ยินเขาคุยว่าเขาชื่นชอบงานของปราชญ์ท่านนี้มาก เขาบอกว่าเขาได้ความรู้และอะไรอีกหลายๆอย่างซึ่งฉันก็ขี้เกียจจำ อาอี๊เคยแซวเขาว่าอ่านหนังสือมาก็มากแล้ว น่าจะลองเขียนหนังสือดูบ้าง ฉันเห็นเขายิ้มแล้วบอกกับอาอี๊ว่าเขาเขียนหนังสือทุกวัน

เขาบอกว่าเขาเขียนบันทึกประจำวันทุกวัน นอกจากนี้เขายังเขียนเรื่องสั้นส่งไปตามนิตยสารต่างๆด้วย เขายิ้มแหยๆก่อนพูดว่าลงตะกร้าหมดเลยครับ แต่ขณะที่พูดเขาไม่มีสีหน้าที่บ่งบอกว่าเขาเสียใจเลยสักนิด เขาบอกว่าอาจินต์ ปัญจพรรค์เคยกล่าวว่า"ตะกร้าสร้างนักเขียนมาทุกยุค" ซึ่งเขาก็ถือเอาคำกล่าวนี้เป็นกำลังใจให้ตนเอง และเชื่อว่าสักวันหนึ่งตะกร้าจะต้องเต็ม!

ฉันยอมรับว่าการฟังหนอนหนังสือคุยกันมันทำให้ฉันงงอยู่บ้าง แต่ละประโยคที่พวกเขาพูดกันมันทำให้ฉันรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรที่ต้องคิดต่อได้อีกร้อยแปดประการ ฉันดูแล้วทั้งอาอี๊และอาม่าต่างมีความสุขที่ได้คุยกับเขา บางทีฉันก็เห็นพวกเขาใช้เวลาครึ่งค่อนวันคุยกันเรื่องหนังสือแค่เล่มเดียว ไม่รู้ว่าเขาไปขุดข้อมูลมาจากไหนตั้งมากมาย อาอี๊ของฉันก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ บางครั้งก็ใช้ให้ฉันไปค้นหาหนังสือเพื่อมายืนยันในสิ่งที่ท่านจะเล่าให้เขาฟัง อาม่าก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย หลายครั้งฉันจึงต้องอ่นหนังสือให้อาม่าฟัง ซึ่งหนังสือเหล่านั้นคือหนังสือที่พวกเขาตกลงกันว่าจะมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความเห็นกันในบ่ายวันอาทิตย์ถัดไป

ฉันปล่อยดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ในมือให้หล่นลงพื้น มันปลิวไปปนกับพวกของมันบนลานหญ้า ไม่เห็นว่ามันจะเหมือนดอกซากุระตรงไหนเลย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงชอบมองอะไรผิวเผินอย่างนี้นะ ทำไมเขาจึงกล้าเรียกดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ว่าซากุระเมืองไทย คงเป็นเพราะการมองอะไรโดยผิวเผินแบบนี้กระมัง เขาจึงยังไม่สามารถเขียนหนังสือให้สำนักพิมพ์ซื้อไปพิมพ์ได้ น่าสมน้ำหน้านัก

หรือแม้แต่การเอ่ยปากถามฉันว่าฉันเห็นด้วยกับเขาไหม? เขาก็ยังถามอย่างเสียมิได้ ถามเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่สนใจเลยว่าฉันจะตอบยังไง...ไอ้ผู้ชายบ้า!

ว่าที่จริงแล้วเขาก็เป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่นน่าสนใจตรงไหนเลย หน้าที่การงานก็งั้นๆ เขาไม่มีอะไรที่ฉันควรจะสนใจเลยสักนิด แถมยังเป็นคนที่ฉันรู้สึกหงุดหงิดในความเฉยชาเสียด้วยซี สามครั้งแล้วนะที่เขาเข้ามาพูดกับฉันแล้วเดินหนีไปโดยไม่รอฟังคำตอบ...

๒)

ฉันทำงานในห้องสมุดของอาอี๊ในตำแหน่งบรรณารักษ์ ฉันไม่ค่อยถนัดด้านนี้เท่าใดเพราะไม่ได้เรียนมาทางนี้ แต่ฉันก็ทำหน้าที่ได้ดีจนอาอี๊เอ่ยปากชม แม้งานบรรณารักษ์จะไม่ใช่งานในฝันของฉัน แต่ฉันก็มีความสุขกับมัน และถึงแม้ในบางห้วงฉันจะคิดถึงงานอื่นที่มันให้ความมั่นคงแก่ฉันมากกว่านี้ เป็นต้นว่างานอื่นใดก็ได้ที่ไม่ใช่งานรับจ้างญาติพี่น้องของตนเอง ฉันอยากจะโบยบินเหมือนดั่งเพื่อนสาวร่วมสมัย ซึ่งพวกเธอเหล่านั้นดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของสาวสมัยใหม่ ผิดกับฉันที่ถูกเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนโดยคนรุ่นย่า และกลายเป็นว่าฉันต้องดำเนินชีวิตเหมือนตอนอาม่าเป็นสาว

เปล่าหรอก! ฉันไม่ได้หมายความว่าในชีวิตประจำวันฉันต้องนั่งร้อยมาลัยและวุ่นอยู่แต่ในครัว ฉันแค่อยากมีความมั่นใจว่าฉันสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้ ฉันรักอาม่าและอาม่าก็รักฉันมาก แต่อาม่าจะอยู่กับฉันตลอดไปก็คงเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่อยากคิดในทางอกุศล แต่ถ้าอาม่าจากฉันไปล่ะ...ฉันจะอยู่กับใคร?

มีผู้ชายหลายคนที่เข้ามาติดพันฉัน ทั้งอาม่าและอาอี๊ต่างให้อิสระแก่ฉันในการเลือกคบใครก็ได้ อาม่าบอกว่าเรื่องคู่ครองของฉันท่านให้ฉันตัดสินใจเอง ด้วยเหตุนี้จึงมีหลายครั้งที่ฉันนึกสนุกแล้วปั่นหัวผู้ชายเหล่านั้นเล่น อาอี๊แซวฉันว่ามัวแต่แกล้งให้ผู้ชายเป็นทุกข์ระวังเวรกรรมจะคืนสนอง

ทีแรกฉันก็ไม่ได้สนใจในคำแซวของอาอี๊ ฉันคิดว่าฉันคงไม่มีวันเสียใจเพราะผู้ชายแน่นอน ผู้ชายต่างหากที่ต้องเสียใจเพราะฉัน แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้ซาบซึ้งกับคำของอาอี๊ หลังจากฉันว่างจากงานบนโต๊ะ ฉันก็นึกสนุกอยากฟังการอภิปรายเรื่องหนังสือประจำบ่ายวันอาทิตย์ ฉันเสนอหน้าไปนั่งฟังหนอนหนังสืออาวุโสคุยกัน ฉันไม่รู้ว่าฉันไปนั่งฟังอีท่าไหน พอตกเย็นอาอี๊ก็เรียกฉันไปถามว่าทำไมจึงไปนั่งจ้องหน้าเขาอย่างนั้น?

ฉันบอกอาอี๊ว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เขาก็เป็นคนกันเองกับพวกเรา ฉันบอกอีกด้วยว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาหรอก อาอี๊พูดว่าไม่ได้คิดอะไรก็ดีแล้ว เพราะผู้ชายคนนี้มีคนที่เขารักอยู่แล้ว...

แล้วคืนนั้นฉันก็ต้องนอนร้องไห้ และได้รู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าการได้เสียน้ำตาให้กับผู้ชายนั้น มันมาจากความรู้สึกที่เจ็บปวดเหนือกว่าความเจ็บปวดอื่นใดที่ฉันเคยเผชิญมา!

๓)

ชมพูพันธุ์ทิพย์ทะยอยร่วงลงมาไม่ขาดสาย ลมร้อนปลายฤดูพัดใบไม้ไหวเบาๆ ดอกไม้ในสวนหน้าห้องสมุดต่างบานเบ่งอวดแสงแดด แต่บรรณารักษ์ห้องสมุดแห่งนี้กลับทำหน้าบอกบุญไม่รับโดยไม่มีเหตุผล นี่คือข้อสังเกตของอาอี๊ ทั้งยังมีอาม่าคอยผสมโรงสังเกตอยู่ด้วยอีกคน

นี่แหละกระมังที่เขาเรียกว่าความรัก จากหญิงสาวที่หยิ่งในรูปโฉมของตนเอง มีความสุขกับการแกล้งให้ผู้ชายปวดใจเล่น กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่งทอดถอนใจอยู่คนเดียว และต้องแอบนอนร้องไห้อยู่บ่อยๆ ทั้งที่เขาคนนั้นไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้มาหลอกลวงอะไรเลย เพียงแค่เขามีแฟนแล้วเท่านั้นเอง

ก็ในเมื่อฉันมีความั่นใจว่ายังมีผู้ชายจำนวนอีกไม่น้อยรอให้ฉันเลือก แล้วใยฉันต้องอาลัยอาวรณ์กะอีแค่ผู้ชายที่เคยพูดกับฉันแค่สามประโยค ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเริ่มพิจารณาผู้ชายที่มาชอบฉัน แม้จะนึกรำคาญกับท่าทีเจ้าชู้ประตูดินของหลายๆคน แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่ดูแล้วเข้าท่า

หากพิจารณาจากความเสมอต้นเสมอปลาย ความเป็นสุภาพบุรุษ และความเอาใจใส่ในความรู้สึกของฉัน ฉันก็คิดว่าฉันพบแล้วล่ะ มิพักต้องพูดถึงรายละเอียดผิวเผินอย่างรูปร่างหน้าตา ฐานะทางครอบครัว และวุฒิการศึกษา ฉันก็คิดว่าเขาคนนี้เข้าท่ากว่าคนอื่น เขาไม่ใช่คนอื่นไกล เขาคือลูกชายของเจ้าของบริษัทที่อาเตี๋ย(แฟนอาอี๊)ทำงานอยู่ เขารู้จักกับฉันก็โดยการแนะนำของอาอี๊ เขามีส่วนสำคัญในการสร้างห้องสมุดแห่งนี้ในฐานะผู้บริจาคเงินสร้างเรือนทรงไทยเกือบทั้งหมด ด้วยประการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คงจะสมเหตุสมผลสำหรับการตัดสินใจเลือกเขา

เพียงแค่ฉันทำท่าว่าฉันให้ความสนใจในตัวเขามากกว่าคนอื่น ชายหนุ่มที่อาอี๊เรียกอย่างรักใคร่ว่า"พ่ออิศรา"ก็หมั่นทำคะแนนไม่หยุดหย่อน หนังเรื่องแล้วเรื่องเล่า มื้อเย็นครั้งแล้วครั้งเล่า เพลงเพราะๆและบรรยากาศโรแมนติก สถานที่เลิศหรูราคาแพงที่พวกไฮโซชอบไปกัน เรือสำราญล่องแม่น้ำเจ้าพระยา สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของเมืองไทย หรือแม้แต่ดอกซากุระที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มที่ชื่ออิศราจะบันดาลให้ฉันได้ทั้งหมด

ทั้งอาอี๊และอาม่าเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังเตรียมตัวจะไปเป็นสะใภ้ไฮโซ ท่านจ้างบรรณารักษ์คนใหม่มาดูแลห้องสมุด ฉันเลยไม่มีหน้าที่อันใดในห้องสมุดนั้นอีกแล้ว คงเหลือแค่หน้าที่ดูแลอาม่าเพียงอย่างเดียว เมื่อใดที่อิศรามาชวนฉันไปเที่ยว หากอาม่าอนุญาตฉันก็ไป

ในชีวิตของฉันนับตั้งแต่เล็กจนโต หากจะมีช่วงเวลาใดที่ฉันรู้สึกสุขสบายมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นช่วงเวลานี้ อิศราเขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาเอาใจใส่ฉันอย่างกับฉันเป็นเทพธิดา เขาปรนเปรอฉันด้วยทุกอย่างที่เขาหาได้

เวลาผ่านไปนานเท่าใดฉันก็ไม่รู้ ในช่วงที่เรามีความสุขเราจะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ชมพูพันธุ์ทิพย์หน้าห้องสมุดเหลือเพียงใบสีเขียว ฤดูร้อนเปลี่ยนผ่านเป็นฤดูฝน จากฤดูฝนเปลี่ยนเป็นฤดูหนาว สภาพอากาศหมุนวนไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ครั้นเมื่อวันหนึ่งซึ่งฉันรู้สึกว่าอิศราคงจะมั่นใจในตัวฉัน เขาก็ขอฉันแต่งงาน

อิศราพาฉันไปพบพ่อแม่ของเขา แม้ฉันจะรู้สึกประหม่าในความใหญ่โตของบ้านและพิธีรีตองอย่างกับในละครทีวี แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านมอบให้ฉัน นานวันเข้าฉันก็เริ่มคุ้นเคยและกลายเป็นคนกันเองของบ้านนั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็ไม่เคยไปหาเขาก่อนเลยสักครั้ง

แม้อาม่าและอาอี๊จะให้อิสระแก่ฉันในการตัดสินใจเรื่องครอบครัว แต่ครั้นอิศราเอ่ยปากขอฉันแต่งงาน ฉันก็จำเป็นต้องบอกว่าแล้วแต่อาม่าและอาอี๊ ซึ่งการผัดผ่อนไว้เช่นนี้มันทำให้ฉันมีเวลาตั้งตัว แม้ฉันจะมั่นใจว่าอิศรารักฉันคนเดียว แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรยังค้างคาใจอยู่ ฉันเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อไม่นานมานี้เองว่า วงสนทนาเรื่องหนังสือในบ่ายวันอาทิตย์ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

เขาคนนั้นไม่เคยมาที่ห้องสมุดของอาอี๊อีกเลย!

ฉันหาเวลาไปถามอาอี๊ด้วยรอยยิ้ม หากแต่อาอี๊กลับทำหน้าเศร้าแล้วถอนหายใจ ชายคนที่เฉยชากับฉันไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาเลิกกับแฟนของเขาเมื่อปีก่อน เขาลาออกจากงานแล้วแอบมาลาอาอี๊ว่าเขาจะขอเดินตามความฝัน เขาอยากเป็นนักประพันธ์! เขาหนีจากกรุงเทพฯแล้วเดินทางไปเรื่อยๆ ครั้งล่าสุดที่เขาส่งข่าวมาบอกอาอี๊ก็คือตอนที่เขากำลังจะเข้าเขตเวียงจันท์

อาอี๊บอกกับฉันอีกว่า เหตุที่เขาต้องเลิกกับแฟนก็เพราะว่าแฟนของเขารักผู้ชายคนใหม่!

แล้วครั้นตกตอนกลางคืน ฉันก็พบว่าตัวเองนอนร้องไห้อีกแล้ว เป็นการร้องไห้ให้กับผู้ชายที่เฉยชากับฉัน นับเป็นครั้งที่สองที่ฉันต้องเสียน้ำตาให้เขา ทั้งๆที่เขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย

๔)

อาม่ากับอาอี๊เรียกฉันไปคุยให้แน่ใจเรื่องอิศรา ท่านบอกว่านี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดของลูกผู้หญิง ทั้งอาม่าและอาอี๊ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าฉันควรจะแต่งงานกับเขา เพราะเขาคือผู้ชายที่เหมาะสมที่สุด

แต่แล้วฉันกลับพบว่าตัวเองไม่พร้อมเอาดื้อๆ ฉันบอกอาม่าและอาอี๊ว่าฉันไม่อยากแต่ง อาอี๊ด่าฉันยกใหญ่ อาม่าก็พลอยทำหน้าไม่เข้าใจในตัวฉัน ท่านถามว่าฉันรู้ตัวบ้างไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฉันตอบว่าฉันไม่รู้

ฉันบอกอิศราในวันต่อมาว่าฉันไม่ได้รักเขา อิศราเปลี่ยนเป็นคนละคนทันที ฉันรู้สึกเห็นใจเขาแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร อิศรารักฉันด้วยใจจริงและเขาก็ทุ่มเทให้ฉันเป็นอย่างมาก แต่ฉันจะอยู่กับเขาได้ยังไงในเมื่อใจฉันยังพะวงถึงใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ความสุขสบายที่อิศรามีให้ฉันมันคงเทียบไม่ได้กับการที่ฉันสุขเพราะได้รักคนที่ฉันรัก แม้ตอนนี้ฉันจะไม่รู้ว่าเขาอยู่แห่งหนตำบลใด แต่ฉันเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องกลับมา

แล้วอิศราก็เผยให้เห็นอีกด้านของเขา เขากินเหล้าเมาแล้วมาอาละวาดใส่ฉันบ่อยๆ เขาชี้หน้าฉันแล้วด่าอย่างสาดเสียเทเสีย หนักเข้าเขาก็ว่าแค่ผู้หญิงเพียงคนเดียวเขาหาที่ไหนก็ได้ เขาร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้ ฉันไม่ได้ตั้งใจหลอกอิศราเลยแม้แต่น้อย ฉันแค่ไม่เข้าใจตัวเอง

อิศราอาละวาดจนฉันอายอยากแทรกแผ่นดินหนี มันทำให้ฉันคิดถึงเขาคนนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ตอนที่เขาถูกคนรักบอกเลิกนั้น เขาจะมีอาการเหมือนอิศราตอนนี้ไหมหนอ?

วันเวลาช่วยให้อิศราเลิกราไปเอง ฉันมองผลงานของเขาด้วยควมเจ็บปวด กระถางดอกไม้แตกไปหลายใบ ป้ายชื่อห้องสมุดหล่นลงมาแตกเสียหาย ฉันมองป้าย"ดวงใจเล็กๆของเราเอง"ที่แตกเป็นเสี่ยงๆแล้วฉันก็ร้องไห้...

อาม่าพาฉันกลับเพชรบุรีในหลายวันถัดมา ฉันใช้ชีวิตในเมืองเพชรบุรีอย่างหมดอาลัยตายอยาก อาม่าถามฉันอีกครั้งว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่? ฉันเจ็บปวดจนไม่สามารถเก็บไว้คนเดียวได้อีกต่อไป ฉันบอกอาม่าว่าฉันรักคนที่เขาไม่ได้รักฉัน แล้วทุกสั่งทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา อามาโอบกอดฉันด้วยความรัก ฉันนอนร้องไห้จนหลับไปบนตักอาม่า...

๕)

ฉันคล้ายดั่งคนที่ไม่รู้จักโต นี่หรือคือคนที่เคยอวดดีอยากมีปีกกล้าขาแข็ง นี่หรือคือคนที่อยากยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ฉันอยู่ในความประคบประหงมของอาม่าจนกระทั่งถึงฤดูที่ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ผลิบานอีกครั้ง

อาอี๊มารับฉันกับอาม่าเข้ากรุงเทพฯ บรรณารักษ์ที่อาอี๊จ้างมาทำงานได้ขอลาออกเพื่อไปเรียนต่อ ฉันกลับเข้าทำหน้าที่บรรณารักษ์เช่นดังเดิม อาอี๊ล้อว่าฉันเป็นบรรณารักษ์ที่กำลังฟื้นไข้ และคงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปหากไม่รู้จักโต แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อาอี๊ก็ขอให้ฉันทำหน้าที่ของฉันให้ดี เพราะมีแต่งานเท่านั้นจะช่วยฉันได้

ฉันเฝ้ามองดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงหล่นลงพื้น มันกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดทั่วบริเวณ นานๆครั้งฉันจึงปัดกวาดมันทีหนึ่ง ฉันทำหน้าที่บรรณารักษ์สลับกับหน้าที่คนสวน แล้ววันหนึ่งอาอี๊ก็มาบอกฉันว่าอิศราแต่งงานไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน ฉันรับฟังด้วยความรู้สึกยินดี และคิดว่าเขาจะต้องมีความสุข

ข่าวคราวในแวดวงหนังสือทำให้ฉันได้รู้ว่า เขาคนนั้นได้เป็นนักเขียนสมใจแล้ว เขามีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ในห้องสมุดของฉันมีหนังสือของเขาทุกเล่ม เขาสามารถเขียนได้ทั้งบทกวี เรื่องสั้น นวนิยาย และสารคดี ฉันเฝ้าอ่านงานของเขาด้วยความคิดถึง แล้วฉันก็พบว่าไม่มีหนังสือเล่มไหนที่เขาเขียนเกี่ยวกับความรักเลย เขากำลังหลบหนีเรื่องราวที่ทำให้เขาเจ็บปวด แต่เขากลับลืม"ดวงใจเล็กๆของเราเอง"ที่เขาสร้างมากับมือ ถ้าหากเขาย้อนกลับมาที่นี่ ฉันเชื่อว่าเขาจะได้พบดวงใจเล็กๆของเขาที่ฉันเฝ้าดูแลด้วยความรักและทะนุถนอม และฉันก็มั่นใจว่าฉันจะไม่เหลวไหลปล่อยปละละเลยมันอีก

จู่ๆวันหนึ่งอาอี๊ก็วุ่นวายอยู่กับการจัดโต๊ะใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ แล้วบ่ายวันนั้นเขาก็ปรากฏตัวมาพร้อมหนังสือกองโต อาม่า อาอี๊ และเขานั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ตรงนั้น ดูท่าทางพวกเขาช่างมีความสุขเหลือเกิน แล้วความต้องการของหัวใจก็ผลักให้ฉันก้าวเดินไปหาพวกเขา

ฉันเลือกนั่งใกล้อาม่าเพื่อฉันจะได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ฉันเห็นเขาอย่างเต็มตา เขามองมาทางฉันแล้วถามว่าฉันเป็นอะไร...ทำไมจึงร้องไห้?

ฉันบอกเขาว่าฉันเป็นอะไรตั้งหลายอย่างตอนที่เขาไม่อยู่ แต่ตอนนี้ฉันขออนุญาตเข้าเป็นสมาชิกหนอนหนังสือด้วยอีกคน

เขายิ้มแล้วพูดว่าวันนี้ยังไม่ได้คุยถึงเรื่องหนังสือเลย แล้วอาอี๊ก็ลุกขึ้นพยุงอาม่าเข้าบ้าน สายลมยามบ่ายพัดดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงหล่นดอกแล้วดอกเล่า ฉันร้องไห้แล้วบอกเขาอย่างไม่อายว่าฉันรักเขา เขาก้มลงหยิบชมพูพันธุ์ทิพย์ดอกหนึ่งมาวางลงบนมือฉัน แล้วเขาก็พูดว่าถึงยังไงเขาก็เห็นว่าชมพูพันธุ์ทิพย์คือซากุระเมืองไทย ฉันพยักหน้าเห็นด้วย เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าเขากำลังอยากเขียนเรื่องที่เขาไม่เคยเขียน

แล้วเขาก็ลงมือเขียนทันใดเดี๋ยวนั้นเลย ฉันเช็ดน้ำตาแล้วจ้องมองบนหัวกระดาษ แม้จะต้องอ่านแบบกลับหัวกลับหาง แต่ฉันก็รู้ว่าชื่อเรื่องที่เขาตั้งนั้นคือ...ดวงใจเล็กๆของเราเอง

ฉันยิ้มทั้งน้ำตา ใช่! ดวงใจเล็กๆของเราเอง...







(เผยแพร่ครั้งแรก winbookclub)