วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

"ตำลึงสุก"

ท้ายซอยตำแยมีบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน 2 ชั้นอยู่หลังหนึ่ง เจ้าของบ้านผัวเมียเป็นข้าราชการเกษียณ ต่างมีอายุคนละ 61 ปี ผัวเมียคู่นี้มีชื่อเรียกอย่างไร ทองดี โคกกระโดน จำไม่ได้ หน้าที่ของเขาเท่าที่ผู้เช่าพอจะมี คือการถ่ายสำเนาบัตรประชาชน เซ็นรับรองสำเนา พร้อมเงินสดล่วงหน้า 1 เดือนและค่าเช่าอีก 1 เดือน มอบให้เจ้าของบ้านผู้เมีย แล้วเขา-ทองดี โดกกระโดนก็หิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่

บ้านหลังใหญ่ แบ่งตามหลักเกณฑ์ง่ายๆได้ 4 ห้อง เจ้าของบ้านอาศัยอยู่ชั้นบน โดยใช้เป็นที่หลับที่นอน 1 ห้อง ทำเป็นห้องพระ 1 ห้อง ชั้นล่างก็แบ่งเป็น 2 ห้องโดยมีบันไดกั้นกลาง ซีกหนึ่งทำเป็นห้องนั่งเล่น รับแขก และทำครัว ส่วนอีกห้องว่างอยู่ เจ้าของบ้านควรจะมีรายได้ทางอื่นนอกจากบำนาญ จึงประกาศให้เช่า ด้วยเหตุนี้ ห้องๆนี้จึงตกมาอยู่ในความครอบครอง(เช่า)ของทองดี โคกกระโดน


ห้องของทองดี โคกกระโดน อยู่ใต้ห้องพระ นั่นก็เท่ากับว่าห้องพระอยู่เหนือห้องของเขา

หน้าห้องมีต้นมะม่วง ใต้ต้นมะม่วงมีแคร่ไม้ไผ่ขนาดคนเมา 6 คนนอนก่ายกันได้สบาย ทองดี โคกกระโดน ชอบหิ้วโต๊ะญี่ปุ่นที่มีลาย ก.ไก่ ข.ไข่ ไปนั่งเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่บนแคร่ เขาเป็นคนไม่ชอบพูด แต่ถ้าได้พูดอะไรออกมาสักคำ บางทีคนฟังก็ต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจมากโข

อย่างวันที่ 7 ที่เขาเข้ามาอยู่ เขาได้ถามเจ้าของบ้าน(หญิง)ว่า "ป้าครับ ตำลึงสุกเป็นยังไง?"

เจ้าของบ้าน(หญิง)นิ่งไปหลายอึดใจ อยากจะตอบว่า 'ตำลึงสุกก็คือตำลึงไม่ดิบ' ก็เกรงว่าผู้เช่าหน้าตาประหลาดจะมีน้ำโห อาจจะคว้ามีดมาฟันคอแกฉับ แล้วแกก็ตาย คิดไปคิดมาแกจึงตัดสินใจถามกลับ

"ภูมิลำเนาเดิมอยู่ต่างจังหวัดไม่ใช่หรือจ๊ะ ทำไมจึงไม่รู้จักตำลึงสุก?"

ทองดี โคกกระโดนทำหน้าเศร้า "ความยากจนข้นแค้นถีบผมกระเด็นมาอยู่ที่นี่ ถ้าจะนับระยะเวลานับตั้งแต่วินาทีแรกที่พลัดพรากจากอ้อมอกพ่อแม่มา มันก็นานพอที่จะลบเลือนความทรงจำที่ผมมีต่อตำลึงสุก"

เจ้าของบ้าน(หญิง)กะพริบตาปริบๆ แกคิดถึงสำนวนนิยายอ่านเล่นที่เคยอ่านสมัยเป็นสาว แล้วแกก็คิดต่อว่า ผู้เช่าคนนี้ก็คงจะเคยอ่านนิยายอย่างว่ามาไม่น้อยกว่าแก

"ลองหาดูที่สวนหลังบ้านหรือยัง? เผื่อจะเจอ"

"ผมแทบจะพลิกทุกตารางนิ้วในสวนแล้วครับ มิพักต้องพูดถึงสวนเพื่อนบ้านข้างเคียง แต่ผมก็หาได้เจอในสิ่งที่ผมอยากเจอไม่"

"ทองดีหมายถึงตำลึงสุก?"

"ใช่ครับ เอ๊ะ! มีคำพูดใดของผมที่บ่งความหมายเป็นอย่างอื่นหรือครับ?"

"หามีไม่ เอ๊ย! ไม่มีจ้ะ"


///




ทองดี โคกกระโดนไม่ละความพยายาม เขาพาตัวเองไปเดินเล่นที่ตลาดบางแค

การเดินตลาดสด เขาสารภาพกับตัวเองว่าไม่ค่อยถนัดนัก ถ้าเดินสยามพารากอนหรือห้างอะไรแถวๆนั้นก็ว่าไปอย่าง

เขาเตร่ไปเตร่มาแถวๆแปลงขายผัก บังเอิญสายตาสอดส่ายไปพบแม่ค้าวัยยายคนหนึ่ง แกขายผักหลายอย่าง หนึ่งในนั้นเตะตาเขาอย่างจัง เร็วเท่าความคิด เขาพรวดไปถึงแผงดังกล่าว

นิ้วชี้มือขวาเล็งไปที่กองผักใบเขียวซึ่งมีตีนยั้วเยี้ย ปากก็พูด "ใคร่ขอถาม ผลของพืชชนิดนี้เวลาสุกจะมีรูปร่างลักษณะเช่นใดครับยาย?"

"ผัดใส่ไข่อร่อยนะจ๊ะ ตำลึงผัดไข่อร่อยดี" แม่ค้าวัยยายตอบ

"ผมหมายถึงผลของมันเวลาสุก ไม่ทราบว่าจะมีลักษณะเช่นใด?"

"ตำลึงสุกหรือจ๊ะ?"

"ใช่ครับ ตำลึงสุก"

"ไม่มีจ้ะ ใครเขาขายตำลึงสุกกัน!"

ทองดี โคกกระโดนเกาหัวแกรกๆ เขาเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีกหลายเดซิเบล "ผมขอรบกวนถามยายหน่อยว่า ตำลึงสุกเป็นยังไงคร้าบ!"

"อ๋อ..." คุณยายยิ้มยิงฟันดำปี๋ ก่อนจะยกนิ้วชี้มือขวาจิ้มแก้มตัวเอง

ทองดี โคกกระโดนผงะ "เหี่ยวขนาดนี้เชียวหรือครับเวลาลูกตำลึงสุก?"

"ไม่ใช่จ้ะ พอดีว่าสมัยยายเป็นสาว หนุ่มๆหลายโหลที่มาติดพันมักจะพูดตรงกันว่าแก้มยายแดงปลั่งเหมือนตำลึงสุก ไหนหนูลองพูดอะไรสักอย่างให้ยายเขินสิ แล้วแก้มยายก็จะบอกเองว่าตำลึงสุกเป็นยังไง"

ทองดี โคกกระโดนกลืนน้ำลาย งานเข้าแล้ว-เขาคิด แต่ก็อยากลองดู "เอางั้นเหรอครับ?"

"จ้ะ!"

เขาคิดถึงสำนวนของนักเขียนหลายๆคนที่บรรยายฉากชมโฉม มึน! โฉมปูนนี้ใครจะบรรยายอย่างนั้นได้ แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาจึงทำเป็นหลับหูหลับตาพูด

"เธอจ๊ะ...เสื้อคอกระเช้าที่เธอสวมอยู่น่ะ รู้ไหมว่ามันแอบเผยให้เห็นก้อนเนื้อสีงาช้างสองก้อนเบียดกันอยู่อย่างอึดอัด พี่รู้สึกหายใจขัดจนเกือบจะเป็นลม โอ...ดูสิ! สายตาคมของเธอที่มองค้อนมา ดุจศรของกามเทพพุ่งตรงดิ่งมาปักอกพี่ เธออย่าได้ชายตาลักษณะนี้ไปมองชายใดอีกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นหัวอกของพี่คงแหลกสลาย พี่รักเธอนะ แม่คิ้วโก่ง แม่ขนตางอน แม่แขนแมนกลมมน แม่ลำคอระหง แม่แตงร่มใบ แม่แก้มนวลผ่อง ไหนล่ะยาย...ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น?"

คุณยายหัวเราะเอิ๊กอ๊าก "เกือบเคลิ้มเหมือนกันจ้ะ ภาษาพอใช้ได้ แต่คนพูดหน้าไม่ให้ นี่ถ้าหนูไปพูดแบบนี้กับสาวคนไหน สาวคนนั้นมีอันต้องเปิดแน่บ เอิ๊กๆๆ"

///



ทองดี โคกกระโดนล้มเหลวอีกครั้ง เขาไม่สามารถบรรจุตัวอักษรลงบนหน้ากระดาษ(หน้าที่ 1234-พุ่มฮัก)ได้เลย เพราะเขานึกไม่ออกว่าตำลึงสุกเป็นยังไง ฉากนี้เป็นฉากสำคัญ เป็นฉากที่พระเอกทะเล่อทะล่าไปบอกรักนางเอก นี่ถ้าเขาไม่เขียนผูกเรื่องให้นางเอกแอบมีใจให้พระเอกมาก่อน การบอกรักของพระเอกครั้งนี้ก็คงจะปิดฉากได้ง่าย ก็แค่เขียนให้นางเอกเชิดหน้าหยิ่ง แล้วบริพาษตอกกลับสักคำสองคำ ฉากนี้ก็จบ แต่ครั้นจะกลับไปรื้อโครงเรื่องใหม่ตั้งแต่ต้น คือเขียนว่านางเอกไม่ได้รักพระเอกเลย ก็ต้องกลับไปแก้ฉากที่นางเอกบอกกับรองพระเอกว่านางเอกรักพระเอก ซึ่งฉากนี้ทำให้รองพระเอกอกหัก แล้วมันก็จะเกี่ยวโยงไปถึงฉากที่นางเอกตบกับรองนางเอกเพื่อแย่งพระเอก เพราะถ้านางเอกไม่แอบรักพระเอก หล่อนจะตบกับรองนางเอกทำไม วิ่งหนีไม่ดีกว่าหรือ แล้วยังจะเกี่ยวพันไปถึงฉากอื่นๆอีก โอย...ยาก! ตกลงว่าให้พระเอกกับนางเอกแอบรักกันตามเดิมดีกว่า แล้วจู่ๆพระเอกก็ทะเล่อทะล่าไปบอกรักนางเอก ผลจากการที่พระเอกได้เอ่ยคำสำคัญให้นางเอกได้ยิน นางเอกของทองดี โคกกระโดน ก็เลยหน้าแดง นั่นล่ะ...งานเข้าทันทีที่นางเอกหน้าแดง บรมครูผู้ประพันธ์นิยายมาก่อนมักบอกว่า "หน้าแดงเหมือนตำลึงสุก" ยังไม่เคยเห็นใครใช้ว่าหน้าแดงเหมือนไฟเบรกรถเมอซิเดส เบนซ์ รุ่น อี คลาส หรือไม่เคยเห็นใครใช้ว่าหน้าแดงเหมือนไฟจราจรแยกปทุมวัน

ทองดี โคกกระโดน นึกภาพไม่ออกว่าตำลึงสุกเป็นยังไง การเขียนอะไรโดยที่ตัวผู้เขียนยังนึกภาพไม่ออกนั้น มีแต่นักเขียนชั้นนเลวเท่านั้นที่ทำกัน ทองดี โคกกระโดนอยากเป็นนักเขียนชั้นดี

กระดาษเอ 4 ที่มีลายมือไก่เขี่ยครึ่งหน้าถูกวางคู่กับปากกา Reynolds มาหลายวันแล้ว ทองดี โคกกระโดน นั่งซึมอยู่บนแคร่ใต้ต้นมะม่วง เขาทอดสายตาข้ามรั้วไม้ต่ำเตี้ยเทียมเอวไปยังชาวซอยที่เดินไปมา เด็กฝูงหนึ่งขี่จักรยานผ่านไป ส่งเสียงยังกับลิงยกทัพ มีหญิงสาวคนหนึ่งขี่จักรยานคุมท้ายขบวน

ทองดี โคกกระโดน เคยได้ยินชาวซอยตำแยเรียกหญิงสาวคนนี้ว่า 'คุณปิ๊ก'

แล้วปากของทองดี โคกกระโดน ก็ไวพอๆกับความคิด เขาตะโกนข้ามรั้ว "คุณปิ๊กครับ!"

หญิงสาวหันมามองเขา คิ้วสวยคู่นั้นเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ แน่นอนว่าหล่อนไม่รู้จักทองดี โคกกระโดน แต่ดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววว่าพร้อมจะเป็นมิตรกับทุกคน

"มัวแต่ขี่จักรยานไปมาไร้สาระอยู่ทำไม" ทองดี โคกกระโดน พูดหน้าตาเฉย "ช่อง 7 สีเขารับสมัครหญิงงามเข้าประกวดไทยซูเปอร์โมเดล คอนเทสต์ อยู่นะครับ รีบๆหน่อย ยังพอมีเวลา..."

ทองดี โคกกระโดน รู้สึกลิงโลดจากการสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาว ไม่ถึง 5 วินาทีที่เขาพูดจบ เขาก็รู้แล้วว่าควรจะบรรยายอาการ "หน้าแดงเหมือนตำลึงสุก" ในนิยายที่เขาเขียนค้างไว้อย่างไร