วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รักเก่าที่บ้านเกิดกับเพื่อนเก่าที่บ้านเดียวกัน

เป็นเวลาหลายปีอยู่เหมือนกันที่ทองดี โคกกระโดน ไม่ได้กลับบ้านเกิด ครั้นกลับมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าอะไรๆหลายๆอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป ที่บ้านเขามีเสาสัญญาณโทรศัพท์ของค่ายมือถือถึง ๒ ค่าย ถนนคอนกรีตตัดเข้าสู่หมู่บ้านแล้ว แต่ไม่แน่ใจนักว่าถนนเส้นนี้ใช้งบไปเท่าไหร่ เพราะดูสภาพแล้วพื้นคอนกรีตดูจะบางกว่าหน้านักการเมืองตั้งเยอะ




ช่างมันเถอะ! ทองดี โคกกระโดนคิด ยังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นที่น่ากังวลกว่า ขณะหิ้วพวงปลาช่อนเดินเปลือยตีนกลับบ้าน รถมอเตอร์ไซค์ยามาฮ่า ฟีโน่ คันหนึ่งได้ขับโฉบตัดหน้าเขาไป คนขับคือวัยรุ่นผู้เป็นศัตรูคู่อาฆาต มันชื่อไอ้ป๋อง ลูกชายคนเดียวของ อบต.เขียด ส่วนคนซ้อนท้ายเป็นสาววัยรุ่นที่ทองดีเคยจีบสมัยเรียนมัธยมต้น หล่อนชื่ออีหวึ่ง



อีหวึ่งเป็นผู้หญิงที่งามที่สุดในโลก นี่คือความคิดของทองดี โคกกระโดน



ตกเย็นวันนั้นเขาหิ้วพวงปลาช่อนไปฝากอีหวึ่งถึงบ้าน แล้วเขาก็ได้พบกับความอกหักสมบูรณ์แบบครั้งแรกในชีวิต



(เหตุการณ์ต่อจากนั้นจำเป็นต้องเซ็นเซอร์ไว้ เพราะคงไม่เหมาะนักหากจะเผยแพร่ในสถานที่นี้ แต่หากท่านใดต้องการทราบบรรยากาศ ผมคิดว่าเพลง ‘จั่งซี่มันต้องถอน’ ของปอยฝ้าย มาลัยพร น่าจะช่วยได้-พุ่มฮัก)



ที่กระท่อมปลายนาด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน อันเป็นสถานที่ที่ทองดี โคกกระโดนใช้ผ่านค่ำคืนอันโหดร้ายนั้นมาได้แบบหวุดหวิด



จวนจะเพลเข้าไปทุกทีแล้ว แต่หลายร่างที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้นกระท่อมยังนิ่งเฉย ร่างหนึ่งผิวกายเหี่ยวย่น หัวเถิกโล่งเตียนกินเนื้อที่ถึงกลางกระหม่อม แต่เนื้อที่หนังหัวส่วนอื่นยังพอหลงเหลือเส้นผมหร็อมแหร็ม ทองดี โคกกระโดนและคนทั้งตำบลเรียกว่าลุงปรือ ใครก็ไม่รู้เชิดชูบูชาถึงขนาดยกเยินให้เป็นปราชญ์ปลายนา อาจเป็นไปได้ว่า เพราะแกเป็นชาวนาที่ยังใช้ควายไถนาอยู่ ปฏิเสธเทคโนโลยีการเกษตรทุกชนิด และการกินอยู่หลับนอนก็แสนเรียบง่ายธรรมดาสามัญ ทำนา ๓ ไร่ ได้ข้าวกินทั้งปีไม่หมด หากไม่แบ่งถวายหลวงพ่อเตี้ยเสียตั้งครึ่ง บรรดามอดก็คงอ้วนท้วนสมบูรณ์



ลุงปรืออ้าปากหวอส่งเสียงกรนดังลั่น ผิวหน้าหยาบกร้านและเหี่ยวย่น แก้มตอบ มีนิทานกาลครั้งหนึ่งซึ่งทองดีเคยได้ยินมาเรื่องหนึ่ง คนเล่าบอกว่าลุงปรือคือพระเอก นิทานเรื่องนี้ไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่จบแบบที่ชาวบ้านเห็นและเป็นอยู่ เป็นนิทานรักโศก คือ ณ กาลครั้งนั้นลุงปรือหลงรักสาวงามดีกรีเทพธิดาตำบลคนหนึ่งชื่อ บัวเผื่อน แต่เทพธิดาองค์นี้แม้เพียงนิดจะคิดชายหางตามาทางลุงปรือก็ไม่มี ครองตำแหน่งได้ ๑ ปี ก็ตกลงปลงใจกับไอ้หนุ่มผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง หนุ่มคนนั้นชื่อแผน ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาก็เป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนฝูงของลุงปรือ “แล้วยังไงต่อ?” ผู้ที่ได้ฟังนิทานเรื่องนี้มักจะถามแบบนี้ “จะยังไงล่ะ ก็อย่างที่เห็นและเป็นอยู่นั่นแหละ”



ลุงปรือเป็นลูกผู้ชายเต็มร้อย แพ้ก็คือแพ้ ณ ขณะโน้นแกต้อนควายลงทุ่ง ปลูกกระท่อมอยู่เดียวดายที่ปลายนา นิทานบางเวอร์ชั่นจากบางปากได้เสริมสีสันว่า แกนอนร้องไห้ฟังเสียงเครื่องไฟงานแต่งอยู่ ๓ วันเต็มๆ พอวันที่ ๔ ดูเหมือนแผลใจจะทุเลาแล้ว แต่กลับทรุดลงอีกเมื่อแกเหลือบไปเห็นควายของแกกำลังผสมพันธุ์กัน



ทองดี โคกกระโดน ถอนหายใจหนักหน่วง ลุงปรือคนนี้คือแบบอย่างที่ดีของคนอกหัก แกไม่รักใครอีกเลย ดูเหมือนแกจะฝังจิตฝังใจกับบัวเผื่อนเอามากๆ มีบางคนลือต่อกันมาอีกว่า ตอนบัวเผื่อนท้องโย้ ลุงปรือโผล่หน้าไปหา หน้าตาและเนื้อตัวเปรอะโคลนเพราะเพิ่งไถนาเสร็จ ชาวบ้านลือกันแกมอารมณ์ขันว่า ลุงปรือบอกกับบัวเผื่อนว่า “ข้าจะรอเอ็ง บัวเผื่อน ข้ารักใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากเอ็ง!” แล้วแกก็ซื้อเหล้าติดมือกลับกระท่อมไป



ทองดี โคกกระโดน เคยมีความคิดว่า ถ้าเขาอกหัก เขาอาจจะดำเนินรอยตามลุงปรือ นั่นก็คือ ต้อนควายลงทุ่ง ปลูกกระท่อมอยู่ปลายนาทิศใต้(นาพ่อเขาอยู่ทางทิศใต้) แต่ติดปัญหาตรงที่ว่า ครอบครัวเขาไม่มีควายหลงเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว ครั้นจะขับรถไถนาลงทุ่งไปปลูกกระท่อมเพื่อทำใจมันก็กระไรอยู่ ด้วยว่าเขาขับรถไถนาไม่เป็น ควายเหล็กเคยเหวี่ยงเขาฟาดคันนาแทบสลบมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเอาดีทางด้านการขีดเขียน หิ้วกระเป๋าหนีออกจากบ้านเพื่อไปหาประสบการณ์เขียนหนังสือที่กรุงเทพฯ บางทีถ้าเขาหอบสมุดปากกาไปนอนเขียนนิยายที่ปลายนาก็คงจะดีไม่น้อย ถ้าเขาอกหัก -เขาเคยคิดว่าถ้าเขาอกหักเขาก็จะทำอย่างที่คิดไว้ แต่พออกหักจริงๆ สิ่งแรกที่ทำได้คือหิ้วขวดเหล้ามาหาลุงปรือ



เขาจำไม่ได้แล้วว่าลุงปรือให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง แต่จำได้ชัดเจนว่า ชะตากรรมความรักของเขาได้สะกิดต่อมอดีตของลุงปรืออย่างจัง แกไม่หลงเหลือร่องรอยของความเป็นปราชญ์ปลายนา แกเอาแต่กรอกเหล้าเข้าปากสลับกับพร่ำแต่คำว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” แล้วก็กรอกเหล้าเข้าปาก “ดีแล้วที่เอ็งมาปรึกษาข้าไอ้ทองดี เรื่องอกหักข้าเป็นมาก่อนเอ็ง” แล้วแกก็กรอกเหล้าเข้าปากอีก “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์...”



ทองดี โคกกระโดน เบนสายตาไปจับจ้องที่กองขวดเหล้าขาว เศษก้างและหัวปลาดุกย่าง กระดูกน่องไก่บ้าน เศษผักแกงอ่อมเนื้อเหลือติดก้นจานเขียวคล้ำ ทุกอย่างที่เขาเห็นล้วนถูกกองทับมดกรุ้มรุม แลดูไม่ต่างจากกองขยะ เขาหันกลับมามองเพื่อนร่วมวงอีกครั้ง ร่างชราที่เหยียดหงายอยู่ปลายตีนลุงปรือคือลุงเปีย ลุงคนนั้นเป็นชาวนามีเมีย ไม่ใช่โสดสนิทเหมือนลุงปรือเพื่อนซี้ มีลูกชาย ๓ คน คนแรกติดคุกอยู่ที่คลองเปรมในข้อหามียาบ้าในครอบครอง คนรองดีหน่อย จบปริญญาตรีทางด้านจักรๆกลๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำงานถึงประเทศญี่ปุ่น ปีสองปีถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน แต่ส่งเงินมาจุนเจือครอบครัวไม่ขาด ลูกชายคนสุดท้ายจับได้ใบแดงเป็นทหารเกณฑ์ถูกส่งไปรับใช้ชาติที่ปัตตานี เดือนก่อนมันส่งจดหมายมาเล่าให้ลุงเปียฟังว่า “พ่อครับ เหตุระเบิดรถยนต์ที่พ่อเห็นทางทีวีอาทิตย์ก่อน พ่อรู้ไหมว่าสะเก็ดระเบิดมันปลิวเฉียดกบาลผมไม่ถึงคืบ แต่พ่อไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ผมมาที่นี่เพื่อรับใช้ชาติ ผมจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ-นายเปียผู้ประเสริฐ...”



ลุงเปียสงบเยือกเย็นกว่าลุงปรือ ผมสีดอกเลาที่ดกปรกเต็มหัว น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันว่าแกไม่ใช่คนคิดมาก ไม่เครียด ไม่วิตกกังวลเกินเหตุ ทองดีจำได้ว่าตอนที่ศาลตัดสินสั่งจำคุกลูกชายคนแรกของแกนั้น ลุงเปียยกมือไหว้ท่วมหัวขอบคุณศาล “เที่ยงธรรมที่สุดแล้วขอรับ ลูกชายผมผิดจริงๆ ผมบอกผมสอนมันแล้ว มันเคยฟังเสียที่ไหน” แต่แกก็จับรถไฟหิ้วของพะรุงพะรังไปเยี่ยมลูกชายทุกเดือน ถ้าจะเทียบกับพ่อคนอื่นๆในข้อที่ว่ารักลูกเสมอทัดเทียมกันทุกคนแล้ว ลุงเปียน่าจะถูกจัดในอันดับต้นๆ



เมื่อคืนลุงเปียหิ้วขวดเหล้ามาสมทบ พร้อมแกงอ่อมอีกชาม “เอ็งอย่าคิดมากเลยบักทอง ผู้หญิงในโลกนี้ใช่ว่าจะมีคนเดียวเสียเมื่อไหร่ หาให้งามกว่าอีหวึ่งสักสิบเท่าก็ยังได้ นี่เอ็งลองชิมแกงอ่อมของข้าดูสิ อร่อยนา...อย่าคิดมาก!” แล้วแกก็เอื้อมมือมาตบไหล่เขา ก่อนจะรับจอกเหล้าลุงปรือเทลงคอ



“ข้าก็เคยอกหักเหมือนกัน” ลุงเปียพูดต่อ “ตอนนั้นหัวใจของข้ากับหัวใจของไอ้ปรือคิดตรงกัน คือคิดว่าอีบัวเผื่อนคือผู้หญิงที่งามที่สุดในโลก จะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้ยังไง ก็หน้าอกมันตุ้มซะขนาดนั้น แก้มผ่องขนาดนั้น ลำคอระหงซะขนาดนั้น ข้ากับไอ้ปรือเคยแอบดูตอนมันกระโจมอกถลกผ้าถุงขัดขี้ไคลต้นขา โอย...จะบ้าตาย! แล้วจะไม่ให้คิดว่ามันงามที่สุดในโลกได้ยังไง ใช่ไหมวะไอ้ปรือ?”



“เออ” ลุงปรือตอบรับ



“แต่ข้าไม่โง่เหมือนไอ้ปรือหรอก” เฒ่าเปียพูดอีก “ผู้หญิงเขาไม่สนใจก็ยังไปเซ้าซี้อยู่ได้ แล้วเป็นไงล่ะ ก็ช้ำอกกลัดหนองฝังลึกยี่สิบปีไม่หาย เหี่ยวย่นหย่อนยานอยู่กับวัวควายไร่นาอย่างที่เห็นนี่แหละ สู้ข้าก็ไม่ได้ พออีบัวเผื่อนขึ้นหอปุ๊บ ข้าก็ปีนหน้าต่างห้องอีลำดวนปั๊บ เสร็จ! สวรรค์ขึ้นได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ แล้วจะมัวดักดานอยู่ในนรกอยู่ทำไม ใช่ไหมวะไอ้ปรือ?”



“ประเดี๋ยวกุถีบ!”



ทองดี โคกกระโดน ละสายตาจากร่างหลับใหลของลุงเปีย แล้วส่งสายตาเพ่งพินิจไปยังหนุ่มหน้าหยกรุ่นน้องวัยเบญจเพส ผู้ซึ่งนอนเหยียดยาวชิดผนังกระท่อม สองมือประสานอยู่กลางอก หายใจสม่ำเสมอแผ่วเบา หลับลึกจมดิ่งใต้ตะวันยามเพล



สมชาย บุญกระโดน คือชื่อตามบัตรประชาชนของเขา แต่คนทั้งตำบลเรียกขานอย่างรักใคร่แกมหมั่นไส้ว่า ‘ไอ้ไผ่’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งใจสมาสและสนธิจากคำสองคำคือ คำว่า-แผน- กับ คำว่า -บัวเผื่อน-



เขาคือลูกชายคนเดียวของแผนกับบัวเผื่อน!



แล้วทองดี โคกกระโดนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงนิทานอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนเล่ากล่าวว่า เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาหลังจากบัวเผื่อนหายจากอาการท้องโย้ได้ราวๆ ๓ เดือน ไอ้แผนกระหืดกระหอบไปบอกผู้ใหญ่บ้านว่า มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับลูกชายของตน สันนิษฐานได้เป็น ๒ ข้อ (ตามคำกล่าวของผู้เล่านิทาน) คือประการแรก ลูกชายวัย ๓ เดือน กระโดดลงจากเปลแล้วเดินหนีไปไหนไม่รู้ และอีกประการหนึ่งก็คือ มีโจรมาขโมยลูกชายของตนไป ไอ้แผนออกจะเชื่อในข้อสันนิษฐานประการหลังมากกว่า เพราะโจรชั่วใจบาปคนนั้นได้ทิ้งร่องรอยไว้ที่แก้มของบัวเผื่อนขณะนอนหลับข้างๆเปลลูก ซึ่งผูกอยู่ใต้ถุนบ้าน ร่องรอยที่ปรากฏบนแก้มนวลผ่องนั้น มีส่วนผสมของคราบเหงื่อไคลและดินโคลน ปรากฏให้เห็นคล้ายรอยจูบ จะเป็นใครไปไม่ได้เด็ดขาด เขาขอร้องให้ผู้ใหญ่เรียกระดมชาวบ้าน แล้วยาตราทัพไปล้อมกระท่อมไอ้ปรือ



“ก็อย่างที่เห็นและเป็นอยู่นั่นแหละ” ผู้เล่านิทานมักจะย้ำแบบนี้ ไอ้ปรือกอดเด็กชายไว้แน่นอก ประกาศบอกไอ้แผนต่อหน้าชาวบ้านทุกคนในวันนั้นว่า



“ข้าก็ลูกผู้ชายเหมือนกันโว้ยไอ้แผน ข้าเสียบัวเผื่อนให้เอ็งไป ข้าก็ยอมแพ้ถอยมาแต่โดยดี ทีนี้ข้าก็อยากจะขออะไรเอ็งสักอย่าง ขอให้ข้าได้มีส่วนดูแลเด็กคนนี้จะได้หรือไม่ ข้าไม่ได้คิดร้ายอะไร ข้ารักเด็กคนนี้เหมือนที่เอ็งรัก ลูกของเอ็งก็เหมือนลูกข้า”



“อ้ายบ้า!” ผู้เล่านิทานจะเน้นบทสนทนาชัดถ้อยชัดคำ “แล้วเอ็งจูบแก้มเมียข้าทำไม?”



“อ้าว! ก็ข้ารักของข้านี่หว่า”



นิทานยังมีส่วนพิสดารกว่านี้อีกหลายเท่า จริงหรือเท็จก็ยากจะพิสูจน์ เพราะกาลเวลาได้ล่วงเลยมายี่สิบกว่าปีแล้ว ช่วงที่ผ่านมา ลุงปรือได้ปฏิบัติต่อครอบครัวไอ้ไผ่ด้วยน้ำใจอันประเสริฐ กล้วยข้างกระท่อมพร้อมใจกันสุกทั้งเครือ แกก็จะคว้ามีดฟันฉับแล้วแบกไปทิ้งไว้ที่บ้านบัวเผื่อน ปลาในสระหนาแน่นจนแย่งกันหายใจ แกก็จะเหวี่ยงแหเอาปลาไปฝากไอ้แผนทีละแหสองแห พอไอ้ไผ่โตขึ้นเข้าโรงเรียน แกก็จะพามันมาเล่นที่กระท่อมปลายนา ฝึกให้ตกปลา ขี่ควาย ทำว่าว ทำหนังสะติ๊กยิงกิ้งก่า ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงไม่แปลกใจเมื่อได้ยินไอ้ไผ่พูดว่า “ลุงปรือเปรียบเสมือนพ่อของผมคนหนึ่ง”



ทองดี โคกกระโดน ครุ่นคิด ต้องใช้ความพยายามขนาดไหนหนอ ถึงจะยกระดับจิตใจให้สูงส่งอย่างลุงปรือได้ อีหวึ่งปฏิเสธรักเขา แล้วก็ไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ลูกชาย อบต.ให้เขาเห็น หากอีหวึ่งท้องโย้กับไอ้หนุ่มนั้น ทองดีคิดแต่เพียงว่า เขาก็คงจะเคียดแค้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ อาจจะคว้ามีดอีโต้ไปสับหัวผัวเมียคู่นั้น แล้วชำแหละผ่าท้องเอาเด็กออกมากระทืบเล่น



ทองดี โคกกระโดน ถอนหายใจหนักหน่วง เขาครุ่นคิดตามคำพูดของไอ้ไผ่ ซึ่งอาศัยดีกรี ๖ หน่วยกิต ม.รามฯ ชี้ความจริงให้เขาได้สำนึกว่า



“มันก็สมควรแล้วนะครับที่พี่ทองดีจะประสบกับความอกหักจากรักครั้งนี้ ดูหน้าพี่สิครับ ดูได้เสียที่ไหน ผมหมายถึงดูไม่ได้เลยสำหรับสายตาของคนที่มีรสนิยม K-POP อย่างอีหวึ่งมัน เออ! ถ้าพี่กับอีหวึ่งเกิดในยุคไอ้ขวัญ-อีเรียมก็ว่าไปอย่าง แต่นี้มันยุคโลกาภิวัฒน์ ใบหน้าพี่ไม่ยอมพัฒนาแล้วมันแปลกตรงไหนถ้าพี่จะอกหัก”



“สารรูปข้ามันทุเรศขนาดนั้นเชียวหรือ?” เขาจำได้ว่าเขาถามคำถามนี้



“มันก็ไม่เชิงทุเรศหรอกครับพี่” ไอ้ไผ่ว่า “ผมไม่อยากจะเอาหน้าตาตัวเองเป็นมาตรฐานนะ เพราะมันจะทำให้ยุ่งยากต่อการอธิบาย เอาเป็นว่า ถ้าผมมีหน้าตาอย่างพี่ คือตาตี่ โหนกแก้มสูง ดั้งหัก กรามใหญ่ และเตี้ยม่อต้อ ผมจะไม่จีบอีหวึ่งเด็ดขาด” ไอ้ไผ่หยุดพูด รับจอกเหล้าจากลุงปรือเทลงคอ แล้วตักแกงอ่อมซดน้ำแกงอุ่น “ก่อนจะจีบใครสักคน เราควรจะต้องศึกษาข้อมูลของเขาให้ดี เข้าตำรา รู้เขารู้เรา รักร้อยครั้ง สมหวังร้อยครั้ง แต่พี่...รู้ทั้งรู้ว่าอีหวึ่งมันเป็นคนอย่างนั้น พี่ก็ยังดันทุรังรัก แล้วเป็นไงล่ะครับ?”



“ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์!” ลุงปรือสอดมา



ทองดี โคกกระโดน เทเหล้าให้ตัวเอง “ข้านึกว่าอีหวึ่งมันจะมองเห็นหัวใจบริสุทธิ์ของข้า”



“อีหวึ่งไม่ได้มีตาทิพย์นะพี่” ไอ้ไผ่พูดอีก “ตาอีหวึ่งก็คือตาธรรมดาเหมือนเราๆท่านๆนี่แหละ ชอบมองอะไรสวยๆงามๆเหมือนกัน มือถือไอ้นั่นถ่ายรูปถ่ายวีดีโอได้ ฟังเพลงก็ได้ ดูทีวีก็ได้ รถมอเตอร์ไซค์ที่มันขี่ก็รุ่นใหม่ล่าสุด เกียร์ออโต้ กดปุ่มสตาร์ทบิดคันเร่งไปได้เลย ไม่เหมือนอีแก่ของพี่ กระทืบจนตีนหลุดก็ยังสตาร์ทไม่ติด มือถือที่พี่ใช้ก็ฮิตเมื่อห้าปีที่แล้ว”



“ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ชอบมองแต่วัตถุภายนอก”



“มันไม่ได้มีตาทิพย์ไง”



“เอ็งก็ไม่ต่างอะไรกับเขานี่หว่า” ลุงเปียพูดขึ้น “เอ็งก็ชอบมองอะไรภายนอกเหมือนกัน ถ้าอีหวึ่งไม่มีหน้าอกขนาด ๓๖ และถ้ามันไม่ชอบเผยเนินอกตอนไปซื้อของร้านชำ และถ้ามันไม่ชอบเปลือยขาอ่อนโดยเจตนานุ่งกางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋ เฮอะ! ใครที่ไหนจะมอง ข้าขอถามเอ็งหน่อย ถ้าอีหวึ่งปากแหว่ง ตาบอด ขาเป๋ เอ็งจะรักมันไหม?”



ทองดี โคกกระโดน ก้มหน้ามองน้ำใสๆเต็มจอก “ไม่รู้สิครับลุงเปีย ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ผมอยากฉุดมันมาทำเมียเหลือเกิน!”



“อา...หัวใจของเอ็งบริสุทธิ์จริงๆ” ลุงปรือพึมพำ





เสียงระฆังดังเหง่งหง่างมาจากวัด เพลพอดี ระฆังดังกังวานวิเวกชวนให้หวั่นไหว เสียงหอนโหยหวนของหมาวัดลอยตามลมมาถึงกระท่อมปลายนา



ทองดี โคกกระโดน รู้สึกสงบอย่างประหลาด



เขาคิดถึงสายตาเหนื่อยหน่ายของหญิงสาวที่เขาบอกรัก คิดถึงถ้อยคำหยามหมิ่นที่ออกมาจากปากงามรูปกระจับ คิดถึงเสียงทุ้มนุ่มหูของรถมอเตอร์ไซค์ราคาครึ่งแสนที่มันพาหญิงสาวคนนั้นลับตาเขาไป แล้วเขาก็คิดถึงพ่อแม่ ตั้งแต่เรียนจบออกมา เขายังไม่ได้ทำอะไรให้พ่อแม่ชื่นใจเลย



เขาขยับตัวออกจากที่นั่ง เขย่าปลุกสองลุงและไอ้ไผ่ ลุงเปียงัวเงียลืมตาขึ้นก่อน



“เช้าแล้วเรอะ?” ลุงเปียถาม



“เพลแล้วครับ”



ลุงปรือลุกขึ้นบิดขี้เกียจ “เอ็งไปซึ้อเหล้ามากินอีกไป๊!”



ทองดี โคกกระโดน ส่ายหน้า “ผมคิดออกแล้วครับลุง ว่าผมจะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเองต่อไป”



“เอ็งจะทำอะไร?” สองเฒ่าถามแทบจะพร้อมกัน



“ผมจะบวชครับ”



ไอ้ไผ่ดีดตัวผึง นั่งตัวตรงตาเบิกกว้างพูดว่า “ผมเพิ่งฝันเมื่อกี้เองว่าพี่ทองดีบวช ตายห่าแล้วครับ ในฝันพี่ทองดีบวชแล้วไม่ยอมสึก อย่าเชียวครับ ผมไม่อยากเสียพี่ชายให้กับพระพุทธศาสนา”



ทองดี โคกกระโดน ยิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบวัน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น