วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บันทึกระหว่างทาง(๕) : โหมโรง 'รำวงเวียนช่อฯ'




ด้วยความหมกมุ่น และตื่นเต้น ที่จะได้จีบนิ้ววาดวงแขนฟ้อนรำล้อมรอบช่อฯ แม้ว่าผู้ร่วมรำจะมีน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้งานกร่อยแต่อย่างใด

๑ มีนาคม ๒๕๕๓ ถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับก้าวแรกที่เริ่มขยับ เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นแล้ว และนี่คือการโหมโรง

........

หมายเหตุ : คัดลอกจากบางส่วนของ 'กถาบรรณาธิการ' สุชาติ สวัสดิ์ศรี ในช่อการะเกด ๕๑ ซึ่งเป็นฉบับเทียบเชิญ นี่คือความเห็นของบรรณาธิการที่มีต่อผลงานของศิษย์เก่าของท่าน


..................................



ข้อสังเกตที่บรรณาธิการมีความเห็นกว้างๆโดยไม่เจาะจงไปที่ชิ้นงานของผู้ใด  ก็มีอยู่บ้างดังต่อไปนี้

๑. ผู้สร้างงานบางคนมีนิสัยไม่ชอบเปิดพจนานุกรม  ดังนั้นจึงมีไม่น้อยที่ยังสะกดคำผิดไปจากพจนานุกรม

๒. ผู้สร้างงานบางคนยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เชคอฟ  และ  เฮ็มมิงเวย์เคยกล่าวว่า “ศิลปะการเขียน  คือการขัดเกลา”  ผู้สร้างงานทุกคนไม่ว่าจะในวาระไหนก็ตาม  ควรจะประณีตกับภาษาของตนเองอย่างยิ่งยวด  แก้แล้วแก้อีก  เกลาแล้วเกลาอีก  แต่เมื่อ พอก็หมายถึงพอ  การใช้คำซ้ำ  การใช้คำเชื่อม  การใช้คำขยาย  ไม่ว่าจะเป็นประโยคหรืออนุประโยคแบบไหน  ควรตรวจแก้เสียให้พอใจ  จึง  ซึ่ง  ที่  ก็  และ  ควรพยายามทำให้ลงตัว  ประโยคที่มีอนุประโยคซ้อนอยู่ควรดูแลให้ดีว่าเรียบลื่นหรือไม่  การเว้นวรรค  การใช้วงเล็บ  การใช้คำขยายซ้อน  การบรรยายเรื่องแบบพรรณนาควรรักษาสมดุลให้พอเหมาะ  ไม่ใช่พรรณนาเสียจนกลายเป็น พรรดึก (แปลว่า  ก้อนอุจจาระที่แข็งกลมเพราะท้องผูก)  รูปประโยคไม่ว่าจะซ้อนกันแบบไหนควรรักษาสมดุลให้เหมือนเช่นที่เฮ็มมิงเวย์เคยกล่าวว่า  งานเขียนที่ดีก็เหมือนภูเขาน้ำแข็ง  ยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ให้เห็นนั้น  ถือเป็นเพียงส่วนน้อย  แต่ฐานของมันที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำและมองไม่เห็นต่างหากที่ทำให้ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งนั้นมั่นคง  เฮ็มมิงเวย์กล่าวไว้ทำนองนั้นเพื่อเป็นบทเรียนว่า  ควรเขียนแต่สิ่งที่ต้องการจริงๆ  สิ่งที่เป็น  the  real  thing  หรือถ้าจะว่าตามความเห็นของ ยาขอบ  ก็คือ  เขียน  คำ  ให้เท่ากับ  ความ  อะไรที่ฟุ่มเฟือยไม่จำเป็น  ถ้าตัดได้ก็ตัดทิ้งไปเสีย  ยิ่งตัดมากยิ่งมั่นคงมาก  เหมือนส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่มีฐานกว้างใหญ่รองรับอยู่  ผู้สร้างงานที่เคย ผ่านพิมพ์มาแล้วระดับหนึ่งย่อมจะมีบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

๓. ชิ้นงานหลายชิ้นรู้สึกเหมือน เมาเครื่องหมาย  นี่เป็นข้อสังเกต  ไม่ใช่ข้อตัดสิน  บรรณาธิการมีความเห็นว่าภาษาไทยของเราแต่เดิมนั้นไม่มีการใช้เครื่องหมาย  เครื่องหมายต่างๆที่เพิ่มปรากฏเข้ามาในประโยคต่างๆของภาษาไทยปัจจุบัน  น่าจะเป็นอิทธิพล นำเข้าที่มาจากรูปแบบของภาษาอังกฤษ  เพราะเป็นลักษณะการเขียน ร้อยแก้วแนวใหม่’ (prose  narrative) ตามแบบตะวันตกที่มีเครื่องหมายต่างๆเป็นตัวกำหนด  และเครื่องหมายแบบ ฝรั่งเหล่านี้ก็ปรากฏอยู่ในตำราไวยากรณ์ไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕  รวมทั้งอิทธิพลจากการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยก็มักจะคงเครื่องหมายแบบภาษาอังกฤษเอาไว้  จนกลายเป็นอิทธิพล นำเข้า ที่ตกตะกอนอยู่ในจิตสำนึกของการใช้ภาษาไทย  บรรณาธิการจึงมี รสนิยมส่วนตัวที่พยายามลดการใช้เครื่องหมายให้มากที่สุด  แต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งครัดเสียทีเดียว  ถ้าเห็นว่าน่าจะตัดออกได้ก็ตัดทิ้งไป  โดยคงไว้เท่าที่จำเป็นจริงๆ  เช่น  เครื่องหมายลูกน้ำ  ที่ตำราไวยากรณ์ไทยเรียกว่า จุลภาคบรรณาธิการเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้ให้รกตาก็ได้  ถ้ารู้วิธีที่จะ เว้นวรรคอย่างสัมพันธ์กับจังหวะการหายใจ  ภาษาไทยแต่ครั้งสมุดข่อยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการเว้นวรรคก็จริง  เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นภาษาร้อยกรองแบบคำคล้องจอง  แต่ต่อมาเกิดการเขียน ร้อยแก้วแนวใหม่หรือ prose  narrative  ที่เริ่มมาพร้อมกับ  หนังสือจดหมายเหตุ  Bangkok  Recorder  ของหมอบรัดเลย์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗  มันจึงส่งอิทธิพลให้เกิดวิธีเขียนแบบใหม่  ดังมีตัวอย่างปรากฏจากงานเขียนในหนังสือพิมพ์ยุคบุกเบิกของเรา  ตั้งแต่สมัย  ดรุโนวาท  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗   เป็นต้นมาและก็ได้พัฒนาต่อมาโดยติดอิทธิพลของเครื่องหมายแบบภาษาอังกฤษมาอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ  การเขียนในลักษณะ ร้อยแก้วแนวใหม่’  ที่ว่านี้ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยตราบจนปัจจุบัน  การเขียนแบบมีเครื่องหมายประกอบจึง ติดมาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทยสมัยใหม่  อย่างไรก็ตาม  บรรณาธิการเห็นว่าภาษาไทยแต่เดิมก็มีคำขึ้นต้นที่เป็นเหมือนเครื่องหมายต่างๆอยู่แล้วในตัวเอง  เช่น  อะไร  ทำไม  ใคร  อย่างไร  ที่ไหน  ดังนั้นจึงไม่น่าจะต้องใส่เครื่องหมายท้ายประโยคแบบภาษา ฝรั่งให้รกตา  เครื่องหมายคำถาม (?) ถ้าจะใช้ก็ควรใช้ในประโยคบอกเล่าเชิงตั้งข้อสงสัย (เช่น ทักษิณเป็นเกย์?) แต่สำหรับประโยคคำถามในภาษาของเราเองนั้นมันมีลักษณะคำต้นที่เป็นเหมือนเครื่องหมายคำถามให้แล้ว  หรือการใช้เครื่องหมายตกใจ (!) ก็น่าจะใช้เท่าที่จำเป็น  ไม่ใช่รู้สึกตกใจกันแทบทุกประโยค  การใช้เครื่องหมายแบบบ เมาเครื่องหมายจนเห็นว่าเป็น สไตล์นั้น  ว่าไปก็คงต้องดูกันเป็นรายๆ  และอาจต้องยกเว้นให้เจ้าของอิทธิพลบางคน  เช่น  วิตต์  สุตถเสถียร  อาษา  ขอจิตต์เมตต์   ประมูล  อุณหธูป รงค์  วงษ์สวรรค์ ฯลฯ  เนื่องจากเป็นผู้มาก่อนและมี สไตล์การเขียนการแปลเฉพาะตนมานานแล้ว  แต่สำหรับชิ้นงานของผู้สร้างใน  ช่อการะเกด ฉบับปกติ  บรรณาธิการมักรู้สึก รกตาเมื่อเห็นผู้สร้างหลายคนชอบใช้เครื่องหมายแบบ เมาเครื่องหมาย และเข้าใจว่าอาจไม่รู้ที่มาของการใช้เครื่องหมายเหล่านั้นว่าควรใช้อย่างไร  จำเป็นหรือไม่  เช่นบางคนใช้จุดไข่ปลาเพราะติดใจ  หรือไม่ก็ติดเป็นนิสัยเวลาเขียนหนังสือ  บางคนชอบวงเล็บเกินความจำเป็นจนทำให้รูปประโยคสับสน  บางคนใส่เชิงอรรถแทบทุกหน้า  จนทำให้การอ่านเรื่องสั้นกลายเป็นการอ่านงานวิจัย  อาการ เมา ดังกล่าวจึงน่าจะเมาเท่าที่จำเป็น  ใน ช่อการะเกด ฉบับปกติ  ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตให้ดี  ท่านจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเห็นเครื่องหมายปรากฏมากนัก  เพราะบรรณาธิการได้ใช้สิทธิ์ ขีดข่วนออกไปหมด  แต่สำหรับ  ช่อการะเกด เทียบเชิญ ที่ปรากฏนี้บรรณาธิการให้เสรีภาพที่จะ เมาเครื่องหมายกันตามสบาย  มันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรหรอก  เพียงแต่มันไม่ต้องกับ รสนิยมส่วนตัวของบรรณาธิการเท่านั้น เทียบเชิญทุกชิ้นใน  ช่อการะเกด ๕๑ ฉบับนี้  บรรณาธิการจึงไม่ได้เข้าไปขีดข่วนเครื่องหมายเหล่านั้นแต่ประการใด   ท่านสามารถสังเกตได้ตั้งแต่ชื่อเรื่องจนกระทั่งเนื้อในของชิ้นงานแต่ละเรื่อง  ทุกพยางค์  ทุกประโยคที่ปรากฏ  บรรณาธิการยังคงไว้ตามต้นฉบับของผู้สร้างงานทุกประการ

๔. การตั้งชื่อเรื่องสั้นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง  เรื่องสั้นบางเรื่องอาจมีเหตุผลที่ผู้สร้างตั้งใจจะใช้ชื่อให้ยาวมากๆเข้าไว้  จนเวลาอ่านต้องมีการพักครึ่ง  ดังนั้นก็อยากจะถามว่า  ชื่อเรื่องสั้นจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีชื่อยาวๆ ๆ ๆ  นี่เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้  บรรณาธิการก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องนี้นัก  แต่อยากฝากให้พิจารณาดูว่าเสน่ห์ของการตั้งชื่อเรื่องสั้นควรมีความสมดุลแบบไหน

๕.     การใช้ภาษาอังกฤษแบบไม่จำเป็นควรมีอยู่หรือไม่  เรื่องนี้บรรณาธิการก็ไม่ได้เคร่งครัด  เพราะตัวเองก็ยังติดนิสัยนี้อยู่ในบางครั้ง  รวมทั้งนิสัยที่ชอบใช้ เครื่องหมายคำพูด  เหมือนเป็นการเน้นทั้งที่รูปประโยคอาจไม่จำเป็น  นิสัยการใช้หรือการกำกับด้วยภาษาอังกฤษก็เช่นกัน  ควรใช้เพราะมีหลักหมายบางประการ  เช่นเป็นผู้ริเริ่มถอดคำคำนั้นจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยครั้งแรก  หรือตั้งใจใช้เพราะมีเจตนาให้เหมาะกับบริบทที่กำลังเขียน  ไม่ใช่นึกจะใช้ก็ใช้เพราะเห็นว่าเท่ดี  เรื่องนี้ไม่ได้เคร่งครัดแต่ก็อยากให้ระมัดระวัง  เพราะไม่อยากให้เมาตัวอักษรภาษาอังกฤษจนเสียรสชาติของการอ่านบริบทที่เป็นภาษาไทย

๖.  การระบุตัวเน้น  ผู้สร้างงานควรระวังว่าต้องการเน้นจริงๆ  มิใช่เน้นกันทุกบรรทัดหรือทุกพารากราฟ  จนแทบทำให้เนื้องานทั้งชิ้นหมดความสำคัญ  ตามหลักสากลทั่วไป  ตัวเน้นนั้นจะใช้ก็ได้  แต่ควรระวังไม่ใช้ตัวเน้นที่เด่นดำจนทำให้เนื้องานทั้งชิ้นกลายเป็นเหมือน ฝีดาษบนหน้ากระดาษ’  การใช้ตัวเน้นตามหลักสากลส่วนใหญ่จะเป็นชื่อหนังสือ  หรือชื่อเฉพาะที่ต้องการเน้นเท่านั้น  และก็ควรเน้นเป็นตัวเอนบางชุดเดียวกับตัวเนื้องาน  บางครั้งผู้สร้างงานบางคนคงจะรู้สึกว่าชิ้นงานของตนนั้นสำคัญเสียจนต้อง สั่งตัวกำกับมาด้วย  ว่าไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร  แต่มันน่ารำคาญ  อิทธิพลของการ สั่งตัว’  มาด้วย  ว่าไปแล้วก็เป็นแบบไทย-ไทยมาตั้งแต่สมัยตัวตะกั่ว  รุ่นโรงพิมพ์ฉับแกระ  ผู้ส่งอิทธิพลคนสำคัญก็อย่างเช่น  สุภา  ศิริมานนท์  ประมูล  อุณหธูป  และที่ส่งอิทธิพลสำคัญก็คือคอลัมน์ หน้า ๕ของ  คึกฤทธิ์ ปราโมช  ใน นสพ.สยามรัฐ รายวันเมื่อครั้งอดีต  แม้จะเข้าใจดีถึงความเร้าใจดังกล่าวในการใช้ตัวอักษรตามสั่งบนหน้ากระดาษ  แต่โดยมาตรฐานสากล  การพิมพ์หนังสือมิใช่การสั่งก๋วยเตี๋ยว  อิทธิพลของการ สั่งตัวที่มาพร้อมกับผู้สร้างงานปัจจุบัน  ได้ส่งทอดไปถึงการใช้ฟอนท์ตามใจชอบของฝ่ายศิลป์ในยุคตัวพิมพ์คอมพิวเตอร์ด้วย  ทำให้ยังเห็น ฝีดาษบนหน้าหนังสือ เปลอะไปหมด  เวลาอ่านมักจะตาลายเพราะมันเต็มไปด้วยฟอนท์ประเภทต่างๆ  ที่ถูกกำหนดเอาตามใจของฝ่ายผลิต  จนเกิดเป็น ฝีดาษกระจายไปทั่วทั้งเล่ม  ยิ่งผู้สร้างงานบางคน สั่งฟอนท์ล่วงหน้ามาด้วยก็ยิ่งอาจทำให้เกิดอาการ ฝีดาษเหล่านั้นมากขึ้น  การใช้ตัวเน้น  ไม่ว่าจะสั่งโดยผู้สร้างงาน  หรือฝ่ายศิลป์ในยุคตัวพิมพ์คอมพิวเตอร์  พวกเขาควรต้องทำความเข้าใจกับประเภทของหนังสือให้เห็นภาพแจ่มชัดทั้งเล่ม  โดยเฉพาะเนื้องานประเภทบทกวี  เรื่องสั้น  นวนิยาย  สารคดี และหรือหนังสือวิชาการนั้นไม่น่าจะใช่เนื้องานแบบคอลัมน์ หน้า ๕ ของคึกฤทธิ์ ปราโมช  หรือการพาดหัวเป็นตัวเน้นประเภทต่างๆ แบบหนังสือพิมพ์รายวัน  เมื่อไหร่สิ่งที่เรียกว่า ฝีดาษบนหน้าหนังสือจะหมดไปเสียที  บรรณาธิการก็จนปัญญาจะตอบในเรื่องนี้  นอกจากนั้นยุคสมัยที่เปลี่ยนไปก็มีส่วนที่ทำให้เกิด ฝีดาษได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่การเคาะคีย์เปลี่ยนฟอนท์  และการเปลี่ยนฟอนท์ในยุคการพิมพ์คอมพิวเตอร์สามารถทำได้รวดเร็วมากกว่าช่างเรียงตัวตะกั่วในยุคโรงพิมพ์ฉับแกระ  เรื่องนี้ในแวดวงสิ่งพิมพ์ก็ไม่เคยทราบว่ามีการสังคายนากันอย่างเป็นระบบหรือไม่  อีกทั้งการพิมพ์ในยุคดิจิตอลนั้นมีลักษณะเป็นงานกราฟิกมากขึ้นทุกวัน  สื่อสิ่งพิมพ์ในปัจจุบันที่ปรากฏจึงเหมือนให้ความสำคัญกับ การดูมากกว่า การอ่าน ถ้าหากไม่หาจุดสมดุลในเรื่องนี้ให้ได้ ฝีดาษบนหน้าหนังสือก็จะเกิดขึ้นต่อไปจนทำให้คำว่าหนังสือกลายเป็นเรื่องอยาก ดูมากกว่าอยาก อ่าน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น