วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"ข้อความปริศนา"





นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์อันสงบสุข

ชาวซอยตำแยที่ตื่นเช้าหน่อย จะเห็นตำรวจหนุ่มวิ่งไล่จับนักเขียนหนุ่ม(เหมือนกัน)ตั้งแต่หน้าบ้านคุณปิ๊ก ผ่านบ้านอีกหลายหลัง จนกระทั่งนักเขียนหนุ่มคนนั้นไปหมดแรงอยู่หน้าร้านส้มตำป้าติ่ง

ชาวซอยพากันงงงวย คนที่ตื่นเช้าก็ก็รีบปลุกคนที่ยังนอนอยู่ แล้วไม่นานก็พากันตื่นหมด ก่อนจะยกโขยงมามุงดูเหตุการณ์หน้าร้านส้มตำ

สารรูปของนักเขียนหนุ่ม ชาวบ้านบางคนบอกว่าดูไม่ได้ นักศึกษาสาวคนหนึ่งซึ่งกลัดกระดุมเสื้อไม่ครบเม็ดพูดว่า “หนูคิดว่าเขาไม่น่าจะถูกเรียกว่านักเขียนนะคะ คนที่เป็นนักเขียนเท่าที่หนูรู้จัก ควรจะหล่อเหมือนพี่นิ้วกลม เท่เหมือนพี่ปราบดา หรือหน้าใสปิ๊งเหมือนพี่วินทร์ แต่อีตานนี้ หนูคิดว่า...ช่างเถอะค่ะ!”



ชาวบ้านที่พอจะมีประสบการณ์ชีวิตมากหน่อยก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น “ดูท่าทางเหมือนกับว่าเขาจะกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปูโธ่เอ๋ย...เขาก็เขียนบอกอยู่บนซองว่าให้เติมเนื้อและผักดังรูป จึงจะได้รับสารอาหารตามคำโฆษณาชวนเชื่อ”

“แต่ข่อยคึดว่า...” ลุงคนขับสามล้อตั้งข้อสังเกต “สงสัยบักนี่สิเอาแต่ถอน...”

ไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของตำรวจหนุ่ม เพราะมัวแต่พากันจ้องมองสารรูปของนักเขียนท้ายซอย ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งเหยียดขาหอบซี่โครงบาน สองมือกำปึกกระดาษยับยู่ยี่ เหงื่อกาฬไหลทะลัก เสื้อแมนฯยูฯสีแดงมอซอเปียกโชก

ป้าติ่งถือสากโผล่ออกมาจากหลังร้าน “เกิดอะไรขึ้นหรือพ่อป๊อด?”

ตำรวจหนุ่มยิ้มแห้งๆ เหลือบมองนักเขียนท้ายซอยแว่บหนึ่ง ก่อนจะหันมาตอบเจ้าของร้านส้มตำ “ไม่รู้เหมือนกันป้า”

“อ้าว!” ชาวบ้านส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน

“คือผมเห็นคุณคนนี้ยืนคุยอะไรสักอย่างกับคุณปิ๊ก” ตำรวจหนุ่มเริ่มเล่า(เขาไม่ได้บอกว่าเขารู้สึกเดือดมากเลยในตอนนั้น – พุ่มฮัก) “ทีแรกผมก็ขับช็อปเปอร์ตรวจตราความสงบเรียบร้อยตามประสาตำรวจนั่นแหละครับ พอผ่านบ้านคุณปิ๊ก...” (เขาไม่ยอมพูดความจริงว่าเขาขับรถผ่านบ้านคุณปิ๊ก 3 รอบ – พุ่มฮัก) “...ผมก็เห็นคุณคนนี้ยืนคุยกับคุณปิ๊กอยู่ สักพักเขาก็ยื่นปึกกระดาษข้ามรั้วให้คุณปิ๊กอ่าน พอคุณปิ๊กอ่านไปได้สอง 2-3 หน้า ผมก็สังเกตเห็นว่าแก้มขาวๆของคุณปิ๊กเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วจู่ๆคุณนักเขียนคนนี้ก็ตะโกนว่า ไม่! ผมหาได้ต้องการตำลึงสุกในตอนนี้ไม่ สิ่งที่ผมต้องการก็คือผมอยากรู้ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่นิยายของผมกลายมาเป็นแบบนี้?”

ป้าติ่งยังถือสากขมวดคิ้วงุนงง “รวบรัดตัดตอนดีกว่าไหมพ่อป๊อด?”

ตำรวจหนุ่มกระแอมแล้วว่าต่อ “ทีนี้พอคุณนักเขียนตะโกน คุณปิ๊กก็ยื่นปึกกระดาษส่งคืนแล้วก็วิ่งหนีเข้าบ้าน เท่านั้นแหละครับ ผมก็ตะโกนตามประสาตำรวจว่า หยุดนะ...นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!”

“แล้วยังไงต่อ?” เสียงชาวบ้านถามขึ้นพร้อมกัน

“จะยังไงล่ะครับ พอคุณนักเขียนมองเห็นผมปุ๊บ เขาก็วิ่งหนีปั๊บ”

“สุดท้ายก็เลยมาจนมุมที่นี่” ป้าติ่งพูดพลางใช้สายตาสำรวจสารรูปของนักเขียนหนุ่ม “ไหนลองเล่าซิพ่อหนุ่ม ทำไมต้องวิ่งหนีตำรวจ ถ้าเราไม่ได้ทำผิดอะไรก็ไม่เห็นจำเป็นต้องวิ่งหนีให้เข้าใจผิดกันแบบนี้”

อาการหอบของนักเขียนท้ายซอยเริ่มทุเลาลง แต่เขายังคงนั่งหมดแรงอยู่บนพื้นซีเมนต์หน้าร้าน เงยหน้ามองไทยมุง หันมามองหน้าป้าติ่ง ก่อนจะชำเลืองมองตำรวจหนุ่มอย่างหวาดๆ

“บอกมาสิพ่อหนุ่ม เราทำร้ายคุณปิ๊กหรือเปล่า?” ป้าติ่งถามอีก

นักเขียนหนุ่มเริ่มตั้งสติได้ “ผมขอพูดตามความจริงก็คือเปล่าครับ”

“แล้วเราวิ่งหนีตำรวจทำไม?”

นักเขียนหนุ่มก้มหน้า “อาจจะต้องย้อนเวลากลับไปยังเหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”

ชาวบ้านมองหน้ากันไปมา แล้วใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ย้อนไปให้ตรงจุดนะคุณนักเขียน ถ้าเยิ่นเย้อยืดยาวผมคงรอฟังไม่ได้เพราะต้องรีบส่งลูกไปเรียนพิเศษ”

นักเขียนหนุ่มนิ่งคิดนิดหนึ่ง “ตอนนั้นผมอายุเจ็ดขวบ ผมเห็นลุงข้างบ้านถูกตำรวจจับเพราะแอบซุกไหสาโทไว้ใต้ลอมฟาง ตำรวจยกโขยงมาทั้งโรงพักเพื่อจะมาจับสาโทไหเดียว ลุงแกตกใจมาก และยิ่งตกใจจนฉี่ราดเมื่อตำรวจนายหนึ่งขู่ว่าจะจับลุงขังคุกตลอดชีวิต”

“แล้วยังไงต่อ?” ชาวบ้านถามพร้อมกัน

“ลุงแกก็เลยก้มลงกราบตำรวจนายนั้น วิงวอนขออิสรภาพ จนในท้ายที่สุดตำรวจก็ยอมกลับไป โดยยึดสาโททั้งไหไปด้วยพร้อมกับไก่ของคุณลุงอีกเกือบยี่สิบตัว”

“เรื่องจริงหรือเรื่องแต่งกันนี่?” ชาวบ้านคนเดิมสงสัย “นักเขียนมักหลงเข้าไปในจินตนาการของตนเสมอ”

“เรื่องจริงครับ” นักเขียนหนุ่มตอบ “ด้วยภาพฝังใจแบบนี้แหละครับ พอผมเห็นตำรวจ ผมก็เลยกลัวและวิ่งหนี คิดดูสิครับ มันคงบัดซบสิ้นดีที่ผมไม่มีปัญญาหาไก่มาไถ่อิสรภาพของตนเอง...ถ้าผมถูกจับ”

ชาวบ้านส่งเสียงฮาครืน แต่ความไม่พอใจเริ่มปรากฏบนใบหน้าของตำรวจหนุ่ม “คุณหลอกด่าตำรวจได้แนบเนียนจริงๆนะคุณนักเขียน ผมจะบอกอะไรให้นะครับ ตำรวจมีทั้งที่ดีและไม่ดี การกระทำของตำรวจบางกลุ่มที่ค่อนข้างจะเลวทรามนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าตำรวจทั้งองค์กรจะเป็นอย่างนั้น”

นักเขียนท้ายซอยยักไหล่ “ผมเสียใจที่เรื่องจริงบางเรื่องมันไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่”

ตำรวจหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด เขาทำท่าจะผละไป แต่พอดีสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวแหวกไทยมุงเข้ามา

ทันทีที่หญิงสาวมองเห็นนักเขียนหนุ่ม หล่อนก็อุทานด้วยความตกใจ “ตายจริง! ใครทำให้คุณทองดีมีสารรูปแบบนี้ ลุกขึ้นเถอะค่ะ อย่านั่งตรงนั้นเลย ไปนั่งตรงเก้าอี้ในร้านดีกว่านะคะ ป้าคะ...” หล่อนหันไปสั่งเจ้าของร้าน “ขอเป๊บซี่ให้คุณทองดีขวดนึงค่ะ”

“ขอข้าวเหนียวไก่ย่างและส้มตำให้ผมด้วยสิครับ ไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว” ทองดี โคกกระโดน ขอกินอย่างหน้าด้านๆ

ชาวบ้านเริ่มสลายการชุมนุม ต่างแยกย้ายกันไปตามทิศทางของแต่ละคน ตำรวจหนุ่มยืนเก้ๆกังๆ แต่สุดท้ายก็เดินมานั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาวและนักเขียนท้ายซอย

“ใครเชิญให้นั่งไม่ทราบ?” หญิงสาวถามหลังจากสั่งอาหารแล้ว

“ใจสั่งมา!” ตำรวจหนุ่มตอบหน้าตาเฉย

ทองดี โคกกระโดน ส่งเสียงเหมือนเป๊บซี่ขวดนั้นใกล้จะบูด เขายิ้มอย่างมีเลศนัยให้ขวดน้ำอัดลม

“ไหนขอดูต้นฉบับอีกทีสิคะ” หญิงสาวกล่าวกับนักเขียนหนุ่ม กิริยาท่าทางแสดงออกให้เห็นว่าตำรวจป๊อดกำลังเป็นส่วนเกิน “ขอโทษที่วิ่งหนีนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” นักเขียนหนุ่มตอบ

“ฉันคิดดูแล้วก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร นิยายของคุณจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง พระเอกกับนางเอกไปฮันนีมูนในบทสุดท้าย ตอนกลางวันเล่นน้ำที่ชายหาด หัวค่ำดินเนอร์ใต้เสียงเทียน ส่วนกลางคืนก็...”

ตำรวจหนุ่มสังเกตเห็นว่าหญิงสาวเริ่มหน้าแดงอีกครัง

“ผมเริ่มเขียนบทนี้ตอนตีสาม” นักเขียนท้ายซอยเล่า “หอบอุปกรณ์ออกมานั่งเขียนบนแคร่ใต้ต้นมะม่วง จุดเทียนไว้มุมโต๊ะเพื่อให้มีแสงสว่าง และก็อย่างที่คุณปิ๊กได้อ่าน บทสุดท้ายนี่พระเอกกับนางเอกไปฮันนีมูน กลางวันเล่นน้ำที่ชายหาด หัวค่ำดินเนอร์ใต้แสงเทียน ส่วนกลางคืนก็...”

หญิงสาวหน้าแดงกว่าเดิม ทองดี โคกกระโดน รีบพูดต่อ

“ส่วนกลางคืนพวกเขาก็นอนด้วยกัน ผมเขียนฉากนี้โดยใช้บทพรรณนาเพื่อให้เห็นภาพที่ละมุนละไม สวยงาม และโรแมนติก คุณปิ๊กอาจสงสัยว่าทำไมนางเอกจึงเป็นฝ่ายเดินออกจากเสื้อผ้าของหล่อนเอง แทนที่จะให้พระเอกเป็นคนถอด เรื่องนี้ต้องอ่านตั้งแต่บทแรกครับ นางเอกของผมเป็นคนสมัยใหม่ ทัศนคติเรื่องเพศจะแตกต่างจากแม่พลอย ดังนั้น บทรักของทั้งคู่จึงมีการผลัดรุกผลัดรับตลอดเวลา ผมเขียนจวนจะจบอยู่แล้ว แต่ดันเผลอหลับไปเสียก่อน ครั้นตื่นขึ้นมาก็ต้องฉงนใจกับข้อความปริศนา อันก่อให้เกิดคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไรที่นิยายของผมกลายมาเป็นแบบนี้...”

หญิงสาวพยักหน้าพลางชี้นิ้วเรียวงามลงบนบรรทัดสุดท้าย “ประโยคปริศนาที่ว่าก็คือประโยคนี้?”

“ใช่ครับ”

“มึงรู้ไหมใครใหญ่?” หญิงสาวอ่านออกเสียง

ทองดี โคกกระโดนดูดน้ำอัดลมอีกอึก “เป็นไปไม่ได้ที่พระเอกจะพูดประโยคนี้ในขณะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม อีกทั้งผมก็ได้กำหนดนิสัยพระเอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า เขาไม่ใช่คนที่ชอบไปอวดใหญ่อวดโตกับใคร ไม่เคยวางมาดข่มขู่ใคร”

“ใช่ค่ะ นั่นไม่ใช่นิสัยของคนที่สมควรจะเป็นพระเอก”

อะไรบางอย่างดลใจให้ตำรวจหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม แล้วทันใดเขาก็คว้าต้นฉบับไปพิจารณา ก่อนจะโยนโครมลงบนโต๊ะต่อหน้านักเขียนหนุ่ม

“เทียบลายมือดูแล้ว ประโยคบ้านั่นไม่ใช่ลายมือคุณ” ตำรวจป๊อดบอก “มีใครบางคนต้องการข่มขู่คุณก็เลยเขียนข้อความนี้”

ทองดี โคกกระโดน เบิกตากว้าง “ผมไม่เคยมีเรื่องกับใคร”

“ช่วยไม่ได้” ตำรวจป๊อดว่า “คุณระวังตัวไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน ลงถ้ามันได้เข้าใกล้คุณถึงขนาดมาเขียนข้อความต่อท้ายนิยายของคุณแบบนี้ สักวันมันคงล่อคุณเข้าให้ แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่เข้าใจคุณเลย...”

“ไม่เข้าใจผมเรื่องอะไรหรือครับ?”

“กะอีแค่เรื่องแค่นี้ทำไมคุณต้องไปรบกวนคุณปิ๊กแต่เช้า ปัดโธ่...ถ้าคุณไม่ต้องการข้อความไหนในต้นฉบับนิยาย คุณก็ลบมันทิ้งสิครับ”

ทองดี โคกกระโดน ก้มหน้ายิ้มซ่อนนัยให้ขวดเป๊บซี่

ทุกความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ในเช้าวันนี้ ถูกบันทึกไว้ในรอยหยักสมองอันยุ่งเหยิงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งบัดนี้เขากำลังทำทีเลือกปลาดุกย่างอยู่หน้าร้าน เขาเงี่ยหูฟังทุกถ้อยสนทนาของโต๊ะนั้น

‘ไม่ได้การล่ะ’ ชายหนุ่มคนนั้นคิด ‘ต้องรีบไปบอกพี่เบี้ยวว่าไอ้นักเขียนนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดเราเขียนข้อความขู่ถึงเพียงนี้ มันยังถือเป็นประเด็นเอาไปคุยกับคุณปิ๊กได้ โธ่พี่เบี้ยว...คู่แข่งคนใหม่ของพี่น่ากลัวกว่าตำรวจเสียอีก’

คิดแล้วชายหนุ่มก็เดินออกจากร้านโดยไม่สนใจปลาดุกย่างที่ถูกจับพลิกระเนระนาดอยู่บนถาดทั้ง 20 ตัว



(ภาพจาก thaiclinic.com)

7 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ

คืนนี้หลับฝันนะท่าน


-พระพาย-

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

วุ้ย! (เอาใหม่)

คืนนี้หลับฝันดีนะท่าน


-พระพาย

DiN กล่าวว่า...

รับแจ่วสักถ้วยไหม?

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ราตรีสวัสดิ์ครับทั้งสองท่าน

พุ่มฮัก

พระพาย กล่าวว่า...

นี่พี่ท่าน 'ซี่โครงบาน' ผู้น้องมิได้เห็นผิดแผกแต่ประการใด เพียงแต่อ่านแล้ว นึกภาพตามได้แจ่มกระจ่างน่ะเจ้าค่ะ ขออย่าได้คิดว่าผู้น้องจะคัดค้านไม่เห็นงามตามพี่ท่านไปเจียว

ส่วนเรื่องจีบนั้น ผู้น้องจะต้านคารมของพี่ท่านได้หรือไม่ ไม่มีความหมายอันใดแล้วเจ้าค่ะ หมดเวลาสำหรับพี่ท่านแล้ว

ด้วยความเคารพ

DiN กล่าวว่า...

นี่แน่ะพณ ท่านทองดี
Blogger มี Read More แล้วทราบยัง?
http://www.bloggerbuster.com/2009/09/read-morepost-summaries-now-available.html

นารินทร์ ทองดี กล่าวว่า...

เรียน ฯพณฯ ทวดดิลล์ ที่เคารพ

ณ บัดนาว กระผมอยู่ ณ ภูมิลำเนาสุรินทร์ บ้านเกิด แม้จะหิ้วเจ้า "ลีโอ"(นามเดอะโน้ตบุ๊ค) มาด้วย แต่ก็ไม่มีเวลาไขกุญแจเข้าหลังบ้านบล็อกเกอร์เลยขอรับ

ยุ่งอีนุงตุงนังหลายประการ เมื่อวานขับรถจากบางกะปิตอนเจ็ดโมงครึ่ง เชื่อหรือไม่ว่าไปถึงสุรินทร์ตอนสองทุ่มกว่า เป็นไปได้ยังไงก็สุดจะบรรยาย

เพิ่งจะเปิดเช็คเมล์เมื่อตะกี้ แล้วก็ลองแวะเข้าบ้านตัวเองเพื่อดูความสงบเรียบร้อย เจอข้อความของ ฯพณฯ ทวด ก็ให้รู้สึกยินดียิ่งนัก ที่ยินดีก็เพราะว่าในตอนที่ท่านอธิบายวิธีทำ Read More คราวโน้นผมอ่านไม่รู้เรื่องเลย ฮี่ๆ

ใช่ว่าท่านอธิบายไม่ดี แต่เป็นเพราะผมไม่มีความรู้เทียมกันมันจึงไม่รู้เรื่อง

ขอบพระคุณขอรับ


พุ่มฮัก

แสดงความคิดเห็น